เทคนิคมือใหม่เรียนรู้การส่องพระ

ส่องพระให้เป็น เล่นพระให้เข้าใจ ได้ด้วยตัวเอง


พระเครื่องคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่โบราณท่านสร้างไว้เป็นเครื่องบูชาเตือนสติให้ทำความดี นอกจากนี้ยังช่วยเหลือสนับสนุนผู้ที่บูชาให้พ้นเคราะห์กรรม หากเคราะห์ร้ายก็เบาบางลงไปอีกด้วยในยุคปัจจุบันถึงแม้จะมีเทคโนโลยีมากมายแต่ก็ยังมีศรัทธาที่มีต่อพระเครื่องอยู่ยั้งยืนยง และยังคงต่อเนื่องมิขาดสาย พระเครื่องอันทรงพุทธคุณก็ได้รับความสนใจจากบุคคลต่างๆ ทุกสาขาอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือคนต่างประเทศก็ตามที

ทำให้วงการพระเครื่องเกิดการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงจนถือได้ว่าวงการนี้เป็นธุรกิจอย่างหนึ่งไปแล้ว
นักสะสมพระเครื่องหน้าใหม่เข้าสู่วงการพระเครื่องกันอย่างคึกคัก ผู้ที่เริ่มหัดสะสมพระเครื่องเหล่านี้มักจะเริ่มจากการที่มีความศรัทธาในพระพุทธคุณเป็นเบื้องต้นก่อน นอกจากนี้ก็คงจะได้เจอกับปาฏิหาริย์ในวัตถุมงคลต่างๆกันมา และหลายท่านเป็นผู้มีบุญบารมีพอมาเริ่มสะสมพระเครื่องวัตถุมงคลก็จะได้พระแท้มาโดยง่ายดาย แต่บางคนไม่ใช่อย่างนั้น ซื้อของปลอมของเก๊กันมาแทบจะยกกระบุง ขาดทุนกับเงินหงายอัฐ นักสะสมหน้าใหม่บางคนถึงกับถอดใจเลิกสนใจพระเครื่องไปเลยก็มี

อย่างไรก็ตาม นัก สะสมหน้าใหม่ในวงการพระเครื่องนี้ก็อาจจะกลายเป็นเศรษฐีได้ในเวลาอันสั้น และถ้าคิดว่าวงการพระเครื่องนี้เป็นธุรกิจอย่างหนึ่ง...

ก็ต้องตอบว่าใช่ และยังเป็นธุรกิจที่ต้องอาศัยความสามารถเฉพาะตัว และไหวพริบของตนเองเป็นสำคัญอีกด้วย

เมื่อคิดที่จะเข้าสู่วงการพระเครื่อง เป็นนักสะสมระดับเซียน ก็ต้องเล่นให้ถูกทิศทางของวงการ คือเล่นพระเครื่องที่ “วงการพระเครื่องยอมรับ” ไม่ใช่นึกจะสะสมพระเครื่องอะไรก็สะสมไม่สนใจกระแสโลก ถ้าเราไม่สนจวงการ หรือ เล่นพระเครื่องก็ตามใจตัวเพียงคนเดียว วงการพระเครื่องก็จะไม่สนใจเรา และปล่อยให้เราเล่นของเราคนเดียว

อืม...แล้วในวงการสังคมวงการพระเครื่องนั้นเขาเล่นพระเครื่องอะไรกันบ้างล่ะ???
คำถามนี้มีคำตอบว่าในสังคมการเล่นพระแบ่งการเล่นพระได้ 3 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่...

1) การสะสมพระกรุ

พระมเหศวร พิมพ์กลาง

นักนิยมพระประเภทพระกรุนี้ส่วนใหญ่จะมีความประทับใจทางศิลปะโบราณที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง พวกเขาจะชอบการได้เรียนรู้รับรู้ความเป็นไปในอดีตของสังคมในแต่ละยุค และมีความภาคภูมิใจที่ได้รับของเก่าแก่อายุเป็นร้อยเป็นพันปีมาอยู่ในครอบครอง นักนิยมพระกรุพระเก่ามักคิดว่าน้อยคนนักที่จะมีวาสนาที่จะได้ครอบครองของโบราณวัตถุเหล่านี้ ตัวอย่างพระกรุเช่น พระนางพญา กรุวัดนางพญา พระรอดลำพูน พระกำแพงเม็ดขนุน พระกรุเมืองนคร พระนางตรา พระท่าเรือ เป็นต้น

2) การสะสมพระเกจิ


เหรียญเสาร์ห้า หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่

นักสะสมกลุ่มนี้จะนิยมพระเครื่องที่มีเกจิอาจารย์ผู้ทรงวัตรปฎิบัติเป็นผู้สร้าง ยิ่งเกจิมีบุญฤทธิ์มากเท่าใดก็ยิ่งทำให้มั่นใจในพุทธคุณของพระเครื่องนั้นๆตามลำดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเราทันเห็นองค์ผู้สร้าง หรือสามารถที่จะสืบเสาะหาข้อมูล และประวัติของคณาจารย์นั้นๆ ก็จะยิ่งเชื่อถือได้อย่างมั่นใจ นอกจากนี้ยังสามารถศึกษาถึงวัตถุมงคลที่จัดสร้างขึ้นว่ามีอะไรบ้าง มีจำนวนเท่าไหร่ และของแท้ดูกันอย่างไร ตัวอย่างของพระเกจิเช่น หลวงปู่ทิม วัดระหารไร่ ระยอง,หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ นครสวรรค์, พ่อท่านคล้าย วัดสวนขัน นครศรีธรรมราช เป็นต้น

3) การสะสมพระเครื่องทั้งพระกรุ และพระเกจิ


พระสมเด็จเกศไชโย พิมพ์ 7 ชั้น

การสะสมประเภทนี้เรียกได้ว่าเจอพระอะไรที่เข้าตาเป็นเก็บหมด ไม่ว่าจะเป็นพระกรุโบราณ หรือพระเกจิใหม่ๆ ก็ตาม ในวงการพระเครื่องนั้นไม่ว่าจะพระกรุหรือพระเกจิก็ตาม พระที่แท้และดูง่ายนั้นหายากมาก ถ้าจะรอเล่นแต่พระเกจิ หรือพระกรุแต่เพียงอย่างเดียว  บางทีอาจจะไม่ได้พระสักองค์ ดังนั้นเมื่อรักจะสะสมก็ต้องเล่นให้มันครบเครื่องทั้งพระกรุ และพระเกจิ นอกจากนี้บางท่านยังเสริมด้วยเครื่องรางของขลัง ดังนั้นนักเล่นพระส่วนมากมักจะเล่นพระเครื่องกันแบบนี้ แต่ก็หนักไปตามความชอบของแต่ละคน คือ สะสมทั้ง 2 อย่างแต่อาจจะหนักไปทางพระเกจิ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีเซียนเฉพาะทางอีกด้วย เช่น บางคนเก่งพระผง บางคนเก่งพระเนื้อดิน บางคนเก่งเหรียญ เป็นต้น

อย่างไรก็ดี ไม่ว่าเราจะเลือกสะสมพระแบบไหนก็ตาม แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราจะต้องทำคือ
เราจะต้อง “เป็น”   เราจะต้อง  “รู้”

คือรู้ว่าพระที่จะเก็บ หรือจะสะสมนั้นของแท้มันเป็นอย่างไร ในการพิจารณาพระแต่ละองค์ว่าเป็นพระแท้ หรือพระเก๊ เราต้องตอบให้ได้ว่า “พระองค์นี้ทำไมถึงแท้” “พระองค์นั้นทำให้ถึงเก๊” อะไรเป็นจุดชี้ขาดให้สรุปอย่างนั้น

หากเราสามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้แล้วละก็..เราก็จะอยู่ในวงการพระเครื่องได้อย่างสบายใจ และยาวนาน จนกลายเป็นเซียนพระไปโดยไม่รู้ตัว

หลักการดูพระเบื้องต้นสำหรับผู้เริ่มสะสมพระเครื่อง


ในวงการพระบ้านเรานั้นเรียกได้ว่าเป็นถิ่นที่รวมสิงค์เหนือและเสือใต้อะไรเทือกนั้นเอาไว้มากมาย ทีทั้งคนดีและคนไม่ดี ดังนั้นคนที่เล่นพระใหม่ ๆ เมื่อจับพระเข้าบางทีมือไม้สั่นไปหมดกลัวโน่นกลัวนี่ จนสุดท้ายไม่ได้เล่น...คือ ดูอย่างเดียว ความจริงแล้ว หากทำใจให้โล่งๆแล้วลองมาอ่านวิธีการเล่นพระให้เป็น โดยไม่เจ็บเนื้อเจ็บตัวกันดีกว่า

โดยยึดหลักใหญ่ๆ ดังนี้...

สิ่งที่ต้องมีในการพิจารณาพระเครื่อง

1. ต้องมีอุปกรณ์ดี สิ่งที่ว่านั้นคือกล้องส่องพระนั่นเอง หากเปรียบเทียบว่านักนิยมพะเครื่องเป็นช่าง กล้องส่องพระก็คงจะเป็นเครื่องมือนั่นเอง ยิ่งเครื่องมือดีมีคุณภาพมากเท่าไรมันก็ยิ่งจะช่วยเสริมการทำงานให้ดีได้มากขึ้นเท่านั้น

2. ต้องมีครูดี  แน่นอนเหลือเกินที่ไม่มีใครรู้ดีไปหมดเสียทุกเรื่อง หรือเก่งมาเลยตั้งแต่ออกมาจากท้องแม่ ทุกๆคน ทุกๆอาชีพ ต่างก็ต้องผ่านการฝึกฝนจากคนที่เรียกว่า “ครู” ด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้นนักสะสมพระเครื่องหน้าใหม่จำเป็นเหลือเกินที่จะต้องมีครูที่ดี เพื่อสั่งสอนให้เราเชี่ยวชาญให้การดูพระในสายนั้นๆ

3. มีความเพียรพยายม และความอดทนดี นักสะสมพระเครื่องหน้าใหม่บางคนเจอพระของปลอมเข้าครั้งสองครั้งเท่านั้นก็ถอดใจ หากไม่มีความเพียรพยายามที่จะต่อสู้หาความรู้ต่อไป และหากขาดความอดทนในการไต่เต้าทำตัวเองให้มีความรู้มากขึ้น...เท่านี้ชีวิตในวงการพระเครื่องก็คงจะจบ บางคนโดนเยาะเย้ยถากถางก็ถึงกับถอดใจแต่บางคนกลับเอาคำพูดดูหมิ่นนั้นมาสร้างพลังให้กับตัวเอง ลองคิดดูสิว่า แล้วทำอย่างไรถึงจะประสบความสำเร็จในวงการพระเครื่อง พยายามหรือว่าท้อแท้ อดทนหรือว่ายอมแพ้ ดังนั้นนักเล่นพระหน้าใหม่จำเป็นเหลือเกินที่จะต้องมีความเพียรพยายามและความอดทนให้มากถึงมากที่สุด

4. สัจจะวาจา เป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับคนที่อยากเข้ามาอยู่ในวงการพระเครื่องเพราะหากไม่มีสัจจะแล้วล่ะก็...มักจะอยู่ไม่ได้นาน คือหลอกใครเขาได้แค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น ทีนี้ชื่อเสียงก็จะเสียหาย และเลยเถิดไปถึงไม่มีใครอยากจะมาเล่นหาคบค้าสมาคมกับคนคดในข้องอในกระดูกด้วย สัจจะวาจาก็เป็นสิ่งสำคัญพูดอะไรออกไปก็ต้องรักษาคำพูดด้วยไม่ใช่วันนี้พูดอย่างพรุ่งนี้พูดอีกอย่าง...อย่างนี้เรียกได้ว่าเป็นนักเลงพระที่ไร้สัจจะ

5. เรียนรู้ไปทีละอย่าง เวลาเริ่มศึกษาพระเครื่องต้องหัดเล่นพระเป็นอย่างๆไป คือศึกษาทีละอย่าง อย่าเรียนรู้มั่ว เอาที่เราชอบก่อนก็ได้ จำเอาไว้ว่าเล่นพระต้องเล่นให้รู้แจ้งแทนตลอดเป็นชนิดๆไป ไม่ใช่อยากเป็นโน่น อยากเป็นนี่ จนตัวเองสับสนไปหมดนักเล่นใหม่ๆ มักจะกังวลว่าจะรู้น้อยกว่าคนอื่นๆ ก็แน่ละเราเพิ่งเล่นนี่จะให้เก่งในวันนี้เมื่อก่อนเขาก็ไม่ได้เก่งมาจากไหน ค่อยๆเรียนรู้กันไปนี่แหละ ดังนั้น เมื่อเล่นพระจะต้องรู้เรื่องพระเป็นชนิดๆ ต่อมาเมื่อเรามีชั่วโมงบินมากขึ้นความรู้ความสามารถในการดูพระชนิดอื่นๆก็จะตามมาเองเพราะส่วนใหญ่แล้วพระหลายๆชนิดก็จะมีหลักการพิจารณาคล้ายคลึงกัน

6. ต้องหมั่นดูของแท้บ่อยๆ นักสะสมหน้าใหม่ส่วนมากเลยมักจะเบี้ยน้อยหอยน้อย จะเช่าหลักหมื่น หลักแสน ก็กลัวไปหมด ระยะแรกๆเลยจำเป็นต้องตีตั๋วฟรีไปก่อน ดูในหนังสือบ้าง เว็บไซต์พระเครื่องทั่วๆไปบ้าง ขอเซียนพระดูบ้าง สมัยนี้ยังดีนะไม่เหมือนสมัยก่อนกว่าจะได้ดูแต่ละองค์นี่แทบจะคุกเข่าอ้อนวอนกันเลยทีเดียว แต่เดี๋ยวนี้มีหนังสือตีพิมพ์แพร่หลาย แต่ก็หาที่มีมาตรฐานหน่อยก็แล้วกัน แต่อย่างไรก็ไม่สมบูรณ์เพราะรูปภาพในหนังสือไม่มีมิติความลึก และคำนวณขนาดที่แท้จริงไม่ค่อยได้ เพราะฉะนั้นถ้าจะให้ดีก็ต้องขอดูพระฟรีตามงานประกวดพระ ที่เขาตัดสินแล้วโชว์ หรือเดินตามตู้โชว์พระถ้ามีทุนพอค่อยเช่ามาส่องดูให้รู้แน่แท้ไปเลย เช่าแล้วก็ต้องถามให้คุ้ม อยากรู้อะไรก็ถามคนที่เราเมา หรือคนเช่าที่เราไว้ใจมาช่วยสอนให้ก็จะเป็นการดี

7. ส่องพระด้วยตาและใจ ไม่ใช่หู เข้าใจคำว่าส่องพระด้วยตาไหม ความหมายก็คือใช้ตาดู ไม่ใช่ใช้หูฟัง คือต้องเชื่อสายตาตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก ถ้าไม่แน่ใจแล้วค่อยหาตัวช่วย เพราะบางคนตาจ้องพระ แต่หูกระดิกคอยฟังเสียงว่าคนอื่นโฆษณาว่าอย่างไร อย่างนี้โดนหลอกแน่นอน เพราะพระที่เขาจะหายให้เรานั้นล้วนแล้วแต่จะมีนิทาน นิยาย ปาฏิหาริย์ ต่างๆมากมาย อย่างฟังนิทาน  หรือนิยายเพราะไม่มีใครยืนยันได้หรอกว่ามันเป็นเรื่องจริง บางองค์อาจจะถูกเล่าว่าเป็นมรดกตกทอดของเจ้าคุณปู่เจ้าคุณย่า...สารพัดสารพันที่จะพูดกันไป เอาเป็นว่ามือใหม่หัดเล่นพระควรตั้งสติดีๆ แล้วใช้ตาดู ไม่ต้องใช้หูฟัง สตางค์ที่มีในกระเป๋าจะได้จ่ายอย่างคุ้มค่าที่สุด

8. หมั่นทำความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติของพระประเภทต่างๆ พระเครื่องแต่ละองค์ต่างก็มีธรรมชาติของเนื้อพระแตกต่างกันไป เช่น ธรรมชาติของโลหะ สภาพของพระเนื้อดิน ลักษณะพระเนื้อผง กรรมวิธีการสร้าง เช่น การหล่อ หรือปั๊ม เรื่องนี้ต้องศึกษากันแบบจริงๆจังๆ ไม่ใช่เรียนรู้ไปแบบผ่านๆ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญในการตัดสินความแท้-เก๊ของพระได้

9. ความรู้ต้องชัดเจนแจ่มแจ้ง  หรือจะเรียกง่ายๆว่าต้องเก่งถึงขั้นนั่นแหละคือต้องมีความรู้ในพระที่ตนสนใจแบบให้รู้แจ้งเห็นจริง ถ้าไม่รู้ก็ต้องสอบถามจากผู้รู้ หรือครูที่เราเคารพนับถือที่รู้จริง  หรืออาจจะสอบถามเอากับบรรดาเซียนพระทั้งหลาย และถ้าจะไปสอบถามใครก็สอบแบบผู้ใฝ่รู้ มิใช่สอบถามแบบผู้อวดรู้

10. ต้องมีเงินตระเตรียมเอาไว้พอสมควร แน่นอนเหลือเกิน...เงินเป็นสิ่งที่สำคัญไม่อาจมองข้ามได้ หากอยากเป็นนักสะสมพระเครื่องก็ต้องมีเงินพอสมควรด้วย แต่ไม่จำเป็นต้องถึงขั้นรวยแล้วค่อยมาเล่นพระเพราะพระเครื่องก็มีหลากหลายระดับมีให้เลือกหลายราคา หากรอให้รวยเสียก่อนบางทีเมื่อถึงเวลานั้นมันอาจจะสายเกินไปแล้วสำหรับโอกาสที่จะได้พระเครื่องดีๆ

11. กล้าตัดสินใจ นั่นก็คือเมื่อรู้ว่าพระเครื่องนั้นแท้แล้วก็จะต้องรู้จักประมาณการว่าคุ้มหรือไม่คุ้ม สมควรที่จะเช่าในราคานี้แล้วหรือยัง บางทีความลังเลใจก็ทำให้คนอื่นเช่าตัดหน้าไปแล้ว อย่างนี้จะโทษใคร ต้องโทษตัวเองที่ไม่มีความกล้าหาญ ไม่กล้าตัดสินใจตั้งแต่แรก ทำให้พลาดโอกาสได้พระเครื่องดีที่อยู่ในกำมือของตัวเองแท้ๆ

12. มีบุญกับพระเครื่องนั้น  บางครั้งเราก็ได้พระดีๆโดยไม่ได้ตั้งใจ อยู่ดีๆก็มีคนยื่นพระที่เราสนใจมาให้แบบไม่รู้ตัว นั่นแหละเขาเรียกว่ามีบุญญาบารมีต่อกัน อันนี้เป็นเรื่องที่แข่งกันไม่ได้อย่างที่โบราณเขาว่าแข่งเรือแข่งพายยังจะพอแข่งกันได้ แต่แข่งบุญแข่งวาสนานั้นมันแข่งกันไม่ได้ ดังนั้นนักเล่นพระที่ดีเมื่อมีโอกาสควรจะสวดมนต์ไหว้พระ และหมั่นทำบุญทำทานอยู่เสมอ แล้วบุญจะหนุนนำคนทำดีให้ได้พระดีๆ เอาไว้ครอบครองเอง

13. ไม่เที่ยวไปตำหนิติเตียน หรือไปวิพากษ์วิจารณ์พระเครื่องของผู้อื่นจนเสียหาย เพราะนั่นถือได้ว่าเป็นการเสียมารยาทเป็นอย่างมาก แล้วยิ่งถ้าพระองค์นั้นเป็นพระแท้แล้วไปว่าตำหนิว่าเป็นของเก๊ อันนี้ก็จะเป็นการสร้างศัตรูให้กับเราโดยใช่เหตุ หากดูแล้วไม่ชอบก็ควรจะหลีกเลี่ยงไปเสียหรือถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรจะใช้คำว่า “ไม่ค่อยถนัดพระสายนี้”

14. อ่อนน้อมถ่อมตนไม่คุยโวโอ้อวดหรือดูถูกผู้อื่น การเป็นเซียนพระที่สุภาพก็จะไม่ไปสร้างความหมั่นไส้ หรือไปรบกวนอวัยวะเบื้องต่ำของผู้ใด เราก็อยู่ของเรา ทำมาหากินของตนไปอย่างสุจริตด้วยความสบายใจจะดีกว่า

15. ก่อนหยิบพระต้องขออนุญาตเจ้าของพระก่อนที่จะส่องพระเครื่องของเขา การดูพระของคนอื่นโดยไม่ขออนุญาตถือว่าเป็นการไม่สุภาพอย่างยิ่ง หากจะขอดูพระของผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นพระที่เก็บเอาไว้นากล่องหรืออยู่บนคอ เราควรรอให้เจ้าของเป็นผู้หยิบออกมาส่งให้ ยิ่งไปกว่านั้นพระที่ใส่ในตลับหากเราต้องการจะถอดออกมา เรายิ่งควรจะขออนุญาต หรือให้เจ้าของพระเป็นผู้ถอดออกมาให้เราดูจะเป็นการดีที่สุด และที่สำคัญที่สุดนั้นก็คือไม่ว่าเราจะรู้สึกอย่างไรก็ตามหลังจากดูพระเสร็จแล้วควรจะเอ่ยปาก “ขอบคุณ” แล้วจึงส่งพระคืนให้กับเจ้าของโดยตรง ไม่ควรยื่นให้กับผู้อื่นที่ไม่ใช่เจ้าของพระ

16. ควรระมัดระวังในการถือพระขณะส่องพระของผู้อื่น หากเราดูพระผู้อื่นด้วยความระมัดระวัง เจ้าของพระที่ให้เราดูก็จะเกิดความสบายใจ ในการจับองค์พระให้จับด้วยมือซ้ายขององค์พระและใช้นิ้วชี้จับทางด้านขอบบนขององค์พระใช้อุ้งมือเป็นที่รองรับ หากพระเครื่องติดอยู่กับสร้อยคอก็ให้นำสายสร้อยพันที่นิ้วเพื่อป้องกันพระหลุดมืออีกชั้นหนึ่ง อย่างไรก็ตามไม่ควรจับพระพลิกไปพลิกมาจนเกินเหตุ ค่อยๆดูของเขาเพราะพระไม่ใช่ของเรา

17. ไม่ควรแย่งดูพระในขณะที่ผู้อื่นกำลังดูอยู่ การที่จะเข้าไปแย่งพระที่ผู้อื่นกำลังส่องพิจารณาเป็นการเสียมารยาทอย่างมาก ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง บางครั้งอาจทำให้พระเครื่องหลุดจากมือได้..แล้วทีนี้ใครล่ะจะรับผิดชอบ

18. เมื่อดูพระของผู้อื่นแล้วพบว่าแท้ต้องรู้จักชมเชย เมื่อชมเชยแล้วก็ควรกล่าวขอบคุณและชมเชยน้ำใจเพื่อให้เจ้าของพระเกิดความภาคภูมิใจ ข้อนี้เป็นมารยาทที่ดี และจะสร้างให้มีมิตรไมตรีที่ดีต่อกันตลอดไป

19. ไม่ควรขูดขีดพระเครื่องเพื่อดูเนื้อในของพระ การทำอย่างนี้เป็นการเสียมารยาทมาก แหม...เขาให้ส่องดูก็ดีแล้วยังไปทำให้พระของเขาเป็นตำหนิอีก บางท่านชอบนำพระเครื่องที่ดูอยู่ไปขัดถูเข้ากับความมันบนใบหน้าเพื่อจะดูว่าพระองค์นั้นจะมีความหนึกนุ่มมันวาวขนาดไหน พฤติกรรมเยี่ยงนี้เป็นที่น่ารังเกียจ อย่ากระทำโดยเด็ดขาด

20. นักสะสมหน้าใหม่ควรมีความรู้เบื้องต้นในการทำความสะอาดพระเครื่อง  ไม่ควรทำความสะอาดจนเสียเนื้อพระควรทำความสะอาดพระเครื่องแต่พอควรโดยควรใช้วิธีที่อ่อนโยนด้วยการใช้น้ำอุ่นๆ ล้างแล้วใช้สำลีเช็ด ไม่ควรใช้วัสดุที่กัดเนื้อพระให้เสียหาย หากเป็นเหรียญเนื้อโลหะอาจจะใช้เครื่องดื่มชูกำลังล้างความสกปรกออกจากเหรียญได้ แต่อย่าแช่ทิ้งไว้นานเกินไปเพราะเหรียญจะสึกกร่อนได้ แช่ไว้สัก 5นาทีก็พอแล้ว ต่อไปก็ล้างน้ำสะอาดพร้อมซับให้แห้ง

21. ใจเย็นให้ถึงที่สุด นักนิยมพระเครื่องหน้าใหม่ต้องฝึกอารมณ์ให้รู้จักการรอคอยโอกาสอันควร อย่าได้มีความโลภมาเกี่ยวข้องเป็นอันขาด อย่าแสดงความโลภออกมาให้เห็นอย่างออกหน้าออกตา รอคอยโอกาสอันควรจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

22. ช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่ปิดบังอำพรางความรู้ การช่วยเหลือต่อคนที่ด้วยกว่าเรานั้นเป็นสิ่งที่มีแต่ผลดีในการสร้างความเป็นมิตรและได้รับการยอมรับนับถือ เราต้องเข้าใจว่าไม่มีใครรู้จักพระเครื่องไปเสียทุกองค์ เราบอกเขาวันนี้ วันหน้าเราอาจจะต้องวิ่งโร่ไปขอความรู้จากเขาก็ได้ นำใจนะยิ่งให้ยิ่งมีเพื่อนฝูงมาก มีมิตรดีกว่าศัตรู ดังนั้นไม่ควรหวงความรู้ซึ่งกันและกัน หากเรารู้เราก็บอกไปตามความจริง หากไม่รู้ก็ไม่ควรอวดเก่งว่ารู้
แหละนั่นก็คือ 22  สิงที่นักนิยมพระเครื่องรุ่นใหม่จำเป็นต้องมี  ไม่มีไม่ได้...ร่วงจากวงการแน่ๆ ไม่ช้าก็เร็ว อืม..
.

แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเล่นพระเป็นหรือยัง

อันนี้ต้องใช้เวลานะ และเวลาที่ต้องใช้ของแต่ละคนก็ไม่เท่ากันเสียด้วยสิ แต่ถ้าอยากจะรู้ว่าตัวเองเข้าขั้นเซียนพระแล้วหรือยัง อย่างนี้ต้องลองบินเดี่ยวดู คือลองเช่าพระด้วยการตัดสินใจด้วยตัวเอง ถ้าแท้ล่ะก็... เริ่มใช้ได้แล้ว เริ่มจะเป็นเซียนน้อยๆแล้ว แต่อย่างไรก็ตามอย่าทะนงตัวเองว่าเก่งเป็นหนึ่งในตองอูล่ะ ระวังจะพลาดเข้าสักวัน...แล้วน้ำตาจะเช็ดหัวเข่า
และหากเช่าพระด้วยตัวเองไปได้สัก 2-3  ครั้งแล้วเก๊ตลอดละก็..อันนี้ต้องรีบไปฝึกวิทยายุทธเสียใหม่เป็นการด่วน คือต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่แล้วที่สำคัญใจเย็นๆ ให้ย้อนกลับไปศึกษาใหม่อีกที แล้วลงมือปฏิบัติอย่างจริงๆจังๆ

คนเราพลาดกันได้  แต่อย่าพลาดบ่อยก็แล้วกัน

ส่วนกลวิธีง่ายๆพื้นฐานอย่างที่สุดในการดูพระเครื่องว่าเก๊หรือแท้ อันนี้เป็นเคล็ดลับที่ง่ายดายที่สุดในโลก นั่นก็คือนำรูปพระหรือองค์พระที่แท้ หรือที่คิดว่าแท้พิมพ์เดียวกันมาวางเรียงกันอย่างน้อย 3 องค์ แล้วนำรูปพระเก๊ หรือที่เราคิดว่าเก๊ มาวางเปรียบเทียบกัน ถ้าของเราไม่เหมือนกับอีก 3  องค์ละก็...เก๊แล้วล่ะอย่างนี้

ตอนแรกๆ ก็จะดูไม่ค่อยออกหรอกว่าเหมือนหรือแตกต่างกันยังไง แต่พอชั่วโมงบินสูงขึ้น ประสบการณ์มากขึ้นเราก็จะเริ่มสังเกตเห็นเองหละ วิธีนี้เขาเรียกว่าวิธีการดูพระแบบธรรมชาติ พอตา จำแนกออกทีนี้ก็เริ่มสบายแล้วล่ะ

มารู้จักพระเนื้อเดินกันเถอะ

คนโบร่ำโบราณเชื่อว่าพระเครื่องที่จะสร้างขึ้นนี้ต้องมีความดีนอกและดีใน ดีในหมายถึงวัตถุดับที่นำมาสร้างต้องล้วนเป็นของดีมีมงคล และดีนอกก็หมายถึงต้องผ่านการพุทธาภิเษกที่เข้มพลังโดยพระคณาจารย์ผู้ทรงวิทยาคุณ และนี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้พระเครื่องจึงมีความศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง

รู้ไหมว่าในวงการพระเครื่องนั้นพระเนื้อดินนี่แหละที่เขายอมรับกันว่าเป็นพระเครื่องที่มีอายุการสร้างเก่าแก่มากที่สุด สมัยก่อนการสร้างก็คงจะง่ายๆ โดยการนำดินอันเป็นวัสดุที่หาได้ทั่วไปมาสร้างสรรค์ปั้นแต่ง นอกจากนี้มนุษย์ในสมัยโบราณยังมีความเชื่อกันว่าดินก็คือเทพเจ้าที่ทรงคุณค่ามหาศาล คนไทยเราก็ยังเชื่อในเรื่องของ “แม่พระธรณี”

ในการนำดินมาสร้างพระเครื่องนั้นนิยมใช้ดินที่นำมาจากศาสนสถานอันศักดิ์สิทธิ์ และในการนำดินมาสร้างพระเครื่องทุกๆครั้งจะต้องมีการทำพิธีบวงสรวงขอบุญญาบารมีและขออนุญาตจากแม่พระธรณีเจ้าที่เจ้าทาง และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ผู้สถิตอยู่ ณ ที่แห่งนั้น นอกเหนือจากดินอันศักดิ์สิทธิ์แล้วยังมีส่วนผสมอื่นๆ ที่จะส่งเสริมความเป็นมงคลแก่พระเครื่อง


หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน

เมื่อได้ดินที่นำมาจากศาสนสถานอันศักดิ์สิทธิ์ และวัตถุดิบตามสูตรที่ต้องการแล้วก็จะนำสิ่งมงคลต่างๆมาผสมคลุกเคล้าให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกันโดยมีดินเป็นมวลสารหนัก จากนั้นจึงนำส่วนผสมไปกดลงในแม่พิมพ์ที่แกะเค้าโครงรูปร่างของพระเครื่องที่ต้องการ เมื่อนำพระที่กดลงในแม่พิมพ์ออกจากพิมพ์แล้วก็จะนำนพระมาเรียงแล้วผ่านกรรมวิธีทำให้แห้ง

ซึ่งในขั้นตอนนี้นั้นแบ่งออกเป็น 2 ประเภท นั่นก็คือ...

พระเนื้อดินที่ผ่านการเผา  

ขั้นตอนนี้นับเป็นการสลายความชื้นและคงรูปวัตถุให้คงที่ และเป็นการทำให้เกิดมวลสารของพระเครื่องเป็นแบบดินสุก หรือดินสีหม้อใหม่เหมือนๆกับการทำภาชนะเครื่องปั้นดินเผาต่างๆ

แต่อย่างไรก็ตามเราต้องเข้าใจว่าในสมัยโบราณนั้นการเผาพระเครื่องไม่มีเครื่องมือในการตรวจวัดอุณหภูมิความร้อนให้สม่ำเสมอและอุณหภูมิคงที่จึงทำให้พระที่ผ่านการเผาออกมามีสีสันวรรณะต่างๆกันไปตามระดับอุณหภูมิความร้อนสูงหรือต่ำที่ได้รับในเตาเผา

นอกจากนี้ยังพบว่าพระเครื่องที่ผ่านการเผานั้นจะมีด้วยกัน 2 ลักษณะ คือ...

1. พระเครื่องที่ผ่านการเผาในอุณหภูมิความร้อนที่สูงเป็นเวลานาน ยกตัวอย่างพระเครื่องประเภทนี้ได้แก่ พระรอด พระนางพญา พระกรุทุ่งเศรษฐี พระหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค เป็นต้น

2. พระเครื่องที่ผ่านการเผาพอประมาณ ใช้เวลาในการเผาไหม้ไม่นานนักเพื่อความยึดติดเข้ารูป หรืออาจจะเรียกว่าเผาเพียงให้แห้ง และมวลสารควายความชื้นออกเท่านั้น จนเป็นเหตุให้พระออกมามีหลายสี แต่คงไว้ซึ่งมวลสารส่วนผสมปรากฏเห็นชัดกว่าพระที่ผ่านการเผาแบบอุณหภูมิความร้อนที่สูงเป็นเวลานาน ยกตัวอย่างพระเครื่องประเภทนี้ได้แก่ พระผงสุพรรณ พระซุ้มกอดำ เป็นต้น

พระกำแพงซุ้มกอพิมพ์ใหญ่มีกนก กรุทุ่งเศรษฐี กำแพงเพชร
พระเนื้อดินที่ผ่านการตากแดด พระเครื่องประเภทนี้เซียนใหญ่มักจะเรียกว่า “พระดินดิบ” ซึ่งก็หมายถึงว่ามวลสารในเนื้อพระได้ถูกแยกน้ำออกด้วยวิธีการตากแดดให้แห้ง ความแข็งแกร่ง คงทนจะน้อยกว่าพระที่ผ่านการเผา นั่นก็เป็นเพราะว่าดินในเนื้อพระ จะสามารถละลายตัวหากนำมาแช่น้ำทิ้งไว้
นอกจากนี้ยังพบว่าในพระเนื้อดินมวลสารหรือเนื้อดินได้สามารถแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ นั่นก็คือ

1. ประเภทเนื้อละเอียด หมายถึง ก่อนที่จะนำดินมาผสมกับมวลสารอื่นๆดินที่นำมาสร้างพระนั้นได้ผ่านการร่อนกรองจนละเอียดแล้ว พระที่สร้างออกมาจึงมีความนวลเนียนของพื้นผิว เช่น พระกำแพงกลีบบัว พระกำแพงซุ้มกอ พระกำแพงทุ่งเศรษฐี เป็นต้น

2. ประเภทเนื้อหยาบ หมายถึง ดินที่นำมาสร้างพระ ได้ผ่านการร่อนกรองมาแล้วแต่ไม่มากจนได้เนื้อดินละเอียด ยังคงปรากฏมีเม็ดแร่ กรวด ทราย ปะปนอยู่ด้วย มองเห็นชัดเจน เช่น พระชุดขุนแผนบ้านกร่าง เป็นต้น

ตัวอย่างพระเนื้อดินยอดนิยมในวงการ

พระเนื้อดินทรงสัตว์ต่างๆหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อยุธยา

หลวงพ่อปานไก่หางพวงพิมพ์อ้วน


พระเครื่องของพระครูกิวิหารจจินุการ หรือหลวงพ่อปานโสนันโท วัดบางนมโค พระนครศรีอยุธยา เป็นพระเครื่องที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นพระเนื้อดินยอดนิยม

ด้วยบารมีของพระเครื่องของท่านที่ได้รับการกล่าวขานว่า เป็นพระที่มีพุทธคุณด้านเมตตามหานิยม และแคล้วคลาดผู้ใดมีพระหลวงพ่อปานไว้ครอบครองบูชาก็จะมีแต่ความเจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้น

หลวงพ่อปานเป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดบางนมโค รูปที่ 3 เดิมเกิดในสกุลสุทธาวงศ์ โยมบิดาชื่อ อาจ โยมมารดาชื่อ อิ่ม ถือกำเนิดวันศุกร์ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 8 ตรงกับวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2418 ที่บ้านบางนมโค เข้าพิธีอุปสมบท ณ วัดบางปลาหมอ เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2438 ตรงกับวันจันทร์ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 5 ปีมะแม โดยมีหลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อจ้อย วัดบ้านแพน เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาในเพศบรรชิตว่า “โสนันโท”



หลวงพ่อปานไก่หางพวงพิมพ์ผอม

สำหรับการเรียนพระปริยัติธรรมตลอดพุทธาคมต่างๆ ของหลวงพ่อปานนั้น ท่านเล่าเรียนจากพระอุปัชฌาย์คือ หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ ก่อนที่จะฝากตัวในสำนักหลวงพ่อเนียม วัดน้อยสุพรรณบุรี และเป็นสหมิกธรรมร่วมสำนักกับหลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน สุพรรณบุรี และนอกจากนี้ท่านยังได้ศึกษาพระปริยัติธรรมตลอดจนภาษาบาลีสำเร็จแตกฉานในสำนักอาจารย์จีน วัดเจ้าเจ็ด พระนครศรีอยุธยา และสำนักวัดสระเกศ กรุงเทพมหานคร อีกด้วย

หลังจากนั้นหลวงพ่อปานท่านก็ได้มาตั้งสำนักธรรมขึ้นที่วัดบางนมโค และทำการบูรณปฏิสังขรณ์ รวมไปถึงการรักษาชาวบ้านด้วยวิธีการของหลวงพ่อปานเอง ท่านรักษาให้ชาวบ้านมาตลอดจนได้รับอีกฉายาว่า “พระหมอ” วัดบางนมโคจึงเจริญรุ่งเรือง สำหรับวัดบางนมโคนั้น เป็นวัดเก่าแก่โบราณ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยใด ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน้อย แต่เดิมบริเวณนี้ประชาชนเลี้ยงวัวกันเป็นจำนวนมาก จึงเรียกกันว่า “บางนมโค”

นอกจากนี้ท่านยังได้สร้างและบูรณะวัดทั้งในพระนครศรีอยุธยาและจังหวัดใกล้เคียงเอาไว้มากมายรวมแล้วไม่ต่ำกว่า 40 วัด ตามหลักฐานที่มีอยู่และคำบอกเล่า โดยที่ท่านไม่ได้ใช้งบประมาณของแผ่นดินแต่อย่างใด หลวงพ่อปานท่านมรณภาพเมื่อพ.ศ. 2481 และได้ทิ้งพระเครื่องซึ่งนับเป็นมรดกอันล้ำค่าไว้ให้ลูกหลานและคนรุ่นหลังไว้บูชาสักการะ

ในระยะแรกของการจัดสร้างนั้นเรียกว่า “พิมพ์โบราณ” ส่วน “พิมพ์มาตรฐาน” นั้นนำออกแจกจ่ายในราว พ.ศ.2460 ซึ่งได้รับความนิยมเสาะแสวงหาด้วยปรากฏความศักดิ์สิทธิ์ทางด้านรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ความแคล้วคลาดจากภยันตรายตลอดจนความเป็นสิริมงคลสมปรารถนาแก่ผู้อธิษฐานติดตัว สำหรับอุปเท่ห์การใช้และพุทธคุณตามความเชื่อที่สืบทอดกันมาในครั้งโบราณกาลของแต่ละพิมพ์ทรงมีคติความเชื่อดังนี้

1. พิมพ์ทรงไก่ มีดีทางการทำมาค้าขาย และเมตตานิยมโดยคนโบราณสังเกตพฤติกรรมของไก่มาประกอบ เปรียบเทียบไก่ฝูงหนึ่ง มักมีตัวผู้เป็นจ่าฝูงเพียงตัวเดียว แต่มีไก่ตัวเมียล้อมรอบหลายตัว
2. พิมพ์ทรงครุฑ มีดีทางอำนาจราชศักดิ์ และเหมาะสำหรับข้าราชการชั้นเจ้านาย
3. พิมพ์หนุมาน ดีทางด้านการปกครอง แคล้วคลาด คงกระพัน เหมาะสำหรับข้าราชการตำรวจทหาร
4. พิมพ์ทรงเม่น ดีทางเกษตรกรรม ทำสวน ทำนา หรือนักค้าที่ดิน
5. พิมพ์ทรงปลา โบราณว่าพิมพ์ทรงนี้ค้าขายทางน้ำดี
6. พิมพ์นก เสริมความสำเร็จให้คนมีอาชีพทางการสื่อสาร นักพูด นักแสดง นักกฎหมาย นักการทูต และพ่อค้าที่จำเป็นต้องเดินทางค้าขายอยู่เสมอ


หลวงพ่อปาน ครุฑใหญ่ พิมพ์ลึก

พระเนื้อชินเป็นอย่างไร

สำหรับพระเนื้อชินในวงการพระเครื่องของเมืองไทยนั้นนับได้ว่าเป็นพระเครื่องที่มีบทบาทสูงมาก เนื่องจากเป็นพระเครื่องที่ครองใจผู้คนมานานนับแต่โบราณ ด้วยความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อพระเนื้อชินนั้นเป็นรากลึกใจจิตใจจึงส่งผลให้เป็นที่เล่าขานเลื่องลือสืบทอดอย่างต่อเนื่อง
จนทำให้พระเนื้อชินถือเป็น “อมตพระเครื่องยอดนิยม” เลยก็ว่าได้

พระเนื้อชินถือเป็นพระเนื้อโลหะประเภทหนึ่งที่เกิดจากการผสมผสานของแร่หลักๆ 2 ชนิดด้วยกัน นั่นก็คือ “ตะกั่ว” กับ “ดีบุก” จนเกิดเป็นโลหะชนิดใหม่ที่เรียกว่า “เนื้อชิน”


พระหูยาน ลพบุรี

ตะกั่วเป็นแร่ธาตุที่มนุษย์รู้จักนำมาใช้ประโยชน์ตั้งแต่โบราณเนื่องจากวิธีการถลุงตะกั่วไม่ยุ่งยาก เพียงแค่ผ่านขบวนการเผาเท่านั้นเอง

ตะกั่ว 

เป็นธาตุที่มีจุดหลอมเหลวต่ำ นั่นก็คือที่อุณหภูมิ 327 องศาเซลเซียล แต่มีแรงรองรับต่ำ โลหะตะกั่วจึงไม่เหมาะกับการงานที่ต้องรับน้ำหนักมากๆ แต่ความอ่อนตัวของตะกั่วมีประโยชน์ที่ทำให้โลหะผสมผสานสามารถแปรรูปได้ง่ายขึ้นไม่ว่าจะทำให้เป็นแผ่นบางๆหรือนำโลหะผสมให้สามารถซอกแทรกไปตามความลึกของแม่พิมพ์ก่อให้เกิดลดลายงดงามตามจินตนาการของช่างได้อย่างง่ายดาย

ดีบุก 

เป็นธาตุที่มีจุดหลอมเหลวต่ำ นั่นก็คือที่อุณหภูมิ 230 องศาเซลเซียล แปรรูปง่ายจนเจือกับโลหะได้หลายชนิด ทำให้เกิดคุณสมบัติของโลหะใหม่ที่มีอานุภาพป้องการการผุกกร่อนได้ ดีบุกเป็นแร่ธาตุที่พบมากที่สุดประเภทหนึ่งในประเทศไทย เราสามารถแยกหาดีบุกออกจากสิ่งปะบนได้อย่างง่ายๆ ด้วยวิธีการร่อนแร่ซึ่งกระทำได้อย่างไม่ยุ่งยาก และหากต้องการดีบุกที่บริสุทธิ์มากขึ้นก็สามารถนำไปย่างเพื่อขจัดธาตุที่แฝงอยู่ในเนื้อดีบุกได้

พระท่ากระดาน  กรุงศรีสวัสดิ์ กาญจนบุรี

จากคุณสมบัติของธาตุทั้ง 2 ชนิด เราจะพบว่าเมื่อนำมาหลอมรวมกันจนเป็นโลหะใหม่ (ชิน) ที่มีความอ่อนนิ่มที่สามารถจับรายละเอียดแม้เพียงบางเบาเล็กน้อยของแม่พิมพ์ได้ แม้รูปทรงจะมีความบางเรียบแบนก็สามารถขึ้นรูปได้ นอกจากนี้ยังทนทานต่อความผุกร่อน และที่สำคัญมีความนำไฟฟ้าต่ำ นั่นจึงทำให้ปลอดภัยเมื่อต้องพกติดตัว

ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นเราจึงพบว่า “ชิน” เป็นโลหะที่มีคุณสมบัติพิเศษเหมาะที่จะนำมาสร้างพระเครื่องได้เป็นอย่างดี ซึ่งถือเป็นภูมิปัญญาของบรรพชนไทยอันชาญฉลาดในการสร้างพระเนื้อชิน
และหากกล่าวโดยสรุปเราจะพบว่าในเมืองไทยมีพระเครื่องเนื้อชินอยู่ด้วยกัน 3 ประเภท คือ...
พระเนื้อชินเงิน เป็นพระเครื่องที่มีส่วนผสมของดีบุกมากจนทำให้พระเครื่องมีสีเงินยวงจับองค์พระอย่างงดงาม

พระเนื้อชินเงินนี้จะปรากฏลักษณะตามธรรมชาติในรูปของเกล็ดกระดี่ และสนิมตีนกา ยกตัวอย่าง พระเนื้อชิน เช่น พระหูยาน ลพบุรี พระนาค วัดปืน เป็นต้น

พระเนื้อชินสนิมแดง เป็นพระเครื่องที่มีส่วนผสมของตะกั่วมาก จนทำให้พระเครื่องมีไขสนิมแซมตามซอกพระ

ยกตัวอย่างพระเนื้อชินสนิมแดง เช่น พระมเหศวร พระสุพรรณหลังผาน พระลีลากำแพงขาว เป็นต้น
พระเนื้อชินตะกั่วสนิมแดง ถือเป็นพระเครื่องประเภทเนื้อชินแต่มีส่วนผสมของตะกั่วมากที่สุดถึง 90% พระที่พบจึงมีสีแดงของสนิมตะกั่วจับอยู่ในเนื้อพระเป็นสีแดง

ยกตัวอย่างพระเนื้อชินตะกั่วสนิมแดง เช่น พระร่วงหลังลายผ้า พระร่วงหลังรางปืน พระท่ากระดาน และพระร่วงพิมพ์ต่างๆ เป็นต้น

การหลอมเหลวรวมแร่ธาตุสำคัญนั้นถือได้ว่าเป็นกรรมวิธีการสร้างพระเนื้อชินที่สำคัญมาก ข้อสำคัญคือเนื้อชินนั้นค่อนข้างอ่อนจึงทำให้พระเครื่องนั้นมีความงดงามอลังการโดยพระเนื้อชินที่พบส่วนมากจะเป็นศิลปะสกุลช่างหลวง ในสมัยโบราณการสร้างพระเนื้อชินนั้นเป็นกรรมวิธีที่ต้องเตรียมการและอาศัยแรงคนจัดทำมิใช่น้อย ดังนั้นผู้สามารถสร้างพระเนื้อชินได้จะต้องดำรงตำแหน่งอยู่ในชั้นเจ้านายที่สามารถสั่งบัญชาการได้ นั่นจึงถือว่าพระเนื้อชินเป็นพระเครื่องชั้นสูงมาแต่ครั้งโบราณ

ตัวอย่างพระเนื้อชินยอดนิยมในวงการ

พระเนื้อชินยอดนิยมได้แก่ พระหูยาน ลพบุรี โดยเราสามารถแยกออกได้เป็น 3 พิมพ์ คือ
1. พระหูยาน พิมพ์บัว 2 ชั้น
2. พระหูยาน พิมพ์บัวชั้นเดียว (หน้ายักษ์)
3. พระหูยานพิมพ์พิเศษ
พุทธลักษณะของพระหูยาน เป็นพระปางมารวิชัย (สะดุ้งมาร) องค์พระประทับนั่งบนบัวเล็บช้างห้ากลีบ พระศกทำเป็นแบบผมหวีพระเกศทำเป็นมุ่นผมขมวดปมดูคล้ายกับมอญโพกผ้า

สัญลักษณ์สำคัญของพระพิมพ์นี้คือใบหูทั้ง 2 ข้างจะยานยาวเป็นพิเศษจนเกือบติดบ่าอันเป็นที่มาของชื่อพระพิมพ์นี้ว่า “พระหูยาน”

พระพักตร์ของพระพิมพ์นี้มีลักษณะที่เคร่งขรึม แต่ก็แย้มยิ้มราวกับเทพเจ้าแห่งความปราณี โดยเห็นรอยพระสรวลดุดันราวกับขุนศึก

เซียนพระหลายท่านบอกว่าลักษณะของใบหน้าพระหูยาน มีส่วนเหมือนกับใบหน้าพระโพธิสัตว์อวโลติเกศวรที่ปราสาทบายนเมืองเสียมราฐมากที่สุดเนื่องจากเป็นพระพักตร์ที่อิ่มเอิบแบบผู้มีบุญบารมีสูง แฝงยิ้มเล็กน้อยจนมีผู้กล่าวว่าเป็นรอยยิ้มแบบบายน

ส่วนพุทธคุณพระหูยานนั้นเป็นที่เชื่อถือกันมานานปีแล้วว่าครบถ้วนทุกด้านโดยเฉพาะทางด้านแคล้วคลาด และคงกระพันชาตรีเป็นเลิศสุดๆ

สำหรับสนนราคาค่าเช่าหาพระหูยานนั้นนับจากอดีตจนถึงปัจจุบันก็ยิ่งมีน้อยและค่อนข้างหายาก ราคาอยู่ที่หลัก (หลาย)แสนมานานแล้ว ท่านที่นิยมพระหูยานก็ขอให้ตรวจสอบอย่างละเอียดก่อนเสียเงินจะได้ไม่เสียใจในภายหลัง

กลวิธีการสร้างพระเนื้อผง

พระเนื้อผงที่เป็นที่นิยมเล่นหาในวงการมีมากมาย แต่ที่รวบรวมมาให้นี้ถือได้ว่าเป็นพระเนื้อผงที่เล่นง่ายปล่อยง่าย ใครมีนี่นอนหลับได้อย่างสบายใจกันเลยทีเดียวโดยมีรายนามดังต่อไปนี้...


พระเพชรหลีก วัดอินทราราม (วัดใต้) พิมพ์ขัดสมาธิเพชร

ท่านเจ้าคุณทักษิณคณิศร (หลวงพ่อสาย ปุญญคงฺโค) ท่านได้กรุณาจัดสร้างไว้โดยใช้เม็ดข้าวเปลือกที่อยู่ในจานข้าวของท่านเก็บรวบรวมเอาไว้แล้วกดฝังไว้ในองค์พระทุกพระองค์

พระวัดพลับ พิมพ์วันทาเสมา วัดราสิทธาราม 
               
พระวัดพลับนี้เป็นพระที่หลวงตาจันได้อาราธนาสมเด็จพระสังฆราช (สุก) และขอผงวิเศษในการสร้างพระผงรุ่นนี้ ในปัจจุบันพระพิมพ์นี้จะเป็นพิมพ์ที่นิยมที่สุดของพระวัดพลับ

   
   พระหลวงปู่เผือก วัดกิ่งแก้ว พิมพ์ขุดสระเล็ก 
พระครูกรุณาวิหารี (หลวงปู่เผือก) ท่านได้กรุณาสร้างพระพิมพ์ขุดสระเล็กรุ่นนี้ไว้เพื่อแจกแก่ผู้ที่ช่วยกันขุดดินมาถมที่ในการสร้างโบสถ์ ดินตรงบริเวณที่ขุดไปนั้นกลายเป็นสระน้ำขนาดใหญ่สำหรับกักน้ำไว้ใช้ในหน้าแล้ง ดังนั้นจึงเป็นที่มาคำว่า “พระผงรุ่นขุดสระ”
พระสมเด็จปิลันทน์ พิมพ์ซุ้มประตู วัดระฆังฯ

เป็นพระที่สมเด็จพระพุฒนาจารย์ (หม่อมเจ้าทัด) สร้างไว้ตอนที่ดำรงสมณศักดิ์ที่หม่อมเจ้าพระพุทธุปบาทปิลันทน์ พระผงรุ่นนี้เป็นพระที่คนโบราณเรียกขานกันว่า “พระ 2 สมเด็จฯ” นั่นเป็นเพราะว่าพระรุ่นนี้หม่อมเจ้าพระพุทธุปบาทปิลันทน์ท่านได้อาราธนาขอพระผงวิเศษจากเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) และขอให้เจ้าประคุณสมเด็จช่วยร่วมสร้างด้วย
                       เจ้าของพระ : ร้านมาณพ 2
- พระสมเด็จเกศไชโย พิมุพ์ 7 ชั้นนิยม วัดไชโยวรวิหาร พระกรุนี้เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ท่านได้สร้างบรรจุไว้ในองค์พระพุทธรูปหลวงพ่อโตที่วุดไชโยวรวิหาร อ่างทอง
                      เจ้าของพระ : วรรธณา สมิตร
- พระสมเด็จหลังอุ ท่านเจ้าคุณนรฯ วัดเทพศิรินทราวาส ท่านเจ้าคุณอุดมสารโสภณ ได้สร้างพระรุ่นนี้ขึ้นและขอให้ท่านเจ้าคุณนรฯอธิษฐานจิตให้เพื่อนแจกแก่ประชาชนที่ได้ร่วมเดินทางสัมมนาพุทธศาสนิกชนสัมพันธ์ที่ฮ่องกง  และแบ่งให้คุณมหาอำไพเพื่อนำไปแจกเป็นของขวัญแก่ผู้มาร่วมงานมงคลสมรส ในปี พ.ศ. 2512 พระสมเด็จรุ่นนี้ของท่านเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
                             เจ้าของพระ : ร้านติรภัทรพระเครื่อง
- พระวัดท้ายตลาด (วัดโมลีโลกยาราม) พิมพ์นาคปรก สร้างในปี พ.ศ.2431 โดยพระวิเชียรมุนี อดีตเจ้าอาวาส พร้อมหลวงพ่อแย้มและหลวงพ่อกลิ่น พระอาจารย์สายกรรมฐานของพระอาราม นี้ที่โด่งดังในยุคนั้น พระของวัดนี้เป็นฝีมือของช่างหลวงดังนั้นจึงเป็นพระเนื้อผงที่มีความสวยงามวิจิตรบรรจงมาก
                     เจ้าของพระ: ร้านศูนย์พระพนัสพระเครื่อง
- พระสมเด็จสรงน้ำ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ) วัดเทพศิรินทราวาส ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ของท่านเจ้าคุณนรฯพระพิมพ์นี้ได้สร้างขึ้น เพื่อแจกในงานสรงน้ำของท่านในปี พ.ศ.2484
                       เจ้าของพระ : พลร้อยเอ็ด
- พระวัดรังสี สร้างโดยท่านเจ้าคุณธรรมกิตติ (แจ้ง) พระวัดรังษีนี้โด่งดังมากในด้านแคล้วคลาดจนมีคำขวัญกล่าวไว้ว่า “มีพระวัดรังสี ชีวีไม่วอดวาย”
                       เจ้าของพระ: สมาน คลองสาม
- พระหลวงปู่ภู พิมพ์แซยิดแขนหักศอก วัดอินทรวิหาร ท่านได้สร้างพระพิมพ์ไว้เมื่อประมาณ พ.ศ. 2463 และยังได้นำผงวิเศษของท่านเจ้าประคุณสมเด็จ (โต พรหมรังสี) มาเป็นส่วนผสมอีกด้วย
                   เจ้าของพระ : เอก มรดกไทย
- พระผงของขวัญ วัดปากน้ำภาษีเจริญ หลวงพ่อสด ท่านได้สร้างพระรุ่นนี้ขึ้นมาเพื่อแจกแก่พุทธศาสนิกชนที่มาร่วมทำบุญสมทบทุนในการก่อสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดปากน้ำฯ เมื่อปีพ.ศ. 2493
การสร้างพระเนื้อผงนั้นถือได้ว่าเป็นการขบวนการผลิตพระเครื่องอย่างหนึ่งที่ต้องอาศัยความพิถีพิถัน
มวลสารในการปั้นพระเนื้อผงก็จะมีส่วนผสมของปูนเป็นหลักใหญ่ประสานเนื้อด้วยยางไม้ กาวหนัง น้ำอ้อย หรือไม่ก็ขี้ผึ้งชั้นดี พระเครื่องเนื้อผงที่มีความเก่าแก่ที่สุดในประเทศคือ พระกรุวัดทัพข้าว จังหวัดสุโขทัย รองลงมาก็คือพระสมเด็จอรหัง วัดมหาธาตุ ซึ่งสร้างโดยสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชราชองค์ที่ 4 หรือที่รู้จักในนาม “พระสังฆราชราชสุกไก่เถื่อน” และพระสมเด็จอรหังนี้ถือเป็นต้นแบบในการสร้างพระเนื้อผงรูปทรงสี่เหลี่ยมชิ้นฟักของไทยในเวลาต่อมา
สมเด็จพระสังฆราชราชสุก (ไก่เถื่อน) นี้นี่เองที่ท่านเป็นพระอาจารย์ที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างยิ่ง ตลอดจนสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ยังได้นำเอาวิธีการสร้างพระขององค์พระอาจารย์ท่านนี้มาสร้างสมเด็จวัดระฆัง พระสมเด็จบางขุนพรหม และพระสมเด็จเกศไชโยอีกด้วย
โดยการสร้างพระเนื้อผงนั้นมีขั้นตอนใหญ่ ๆ คือ
การจัดเตรียมวัสดุ
มวลสารหลักในพระเนื้อผงก็คือ “ผงปูนขาว” ซึ่งโบราณจะใช้เปลือกหอยมาเผาไฟแล้วนำมาบดให้ละเอียดซึ่งจะเรียกว่า “ผงปูนเปลือกหอย” เมื่อได้มวลสารหลักก็จัดเตรียมผงที่เป็นมงคลต่างๆอาทิ เช่น แร่ทรายเงิน ทรายทอง ว่าน ดอกไม้ และวัตถุศักดิ์สิทธิ์ก็นำมาเป็นส่วนผสมนำมาบดเป็นผง ในสมัยโบราณจะใช้กล้วยน้ำว้าและน้ำมันตังอิ๊ว (ยางไม้ชนิดหนึ่งผสมกับน้ำมัน) เป็นสิ่งที่ช่วยประสานเนื้อผงและวัตถุศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายให้เกาะติดเป็นเนื้อเดียวกัน
จากสูตรการสร้างพระเนื้อผงของมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) นั้นท่านจะให้ความสำคัญกับธาตุแท้แห่งคุณวิเศษ
นั่นก็คือ “ผงวิเศษ 5 ประการ”
อันประกอบด้วย ผงปถมัง อิทธิเจ มหาราช พุทธคุณ และตรีนิสิงเห โดยเริ่มต้นที่การสร้างผงปถมังก่อน แล้วเอาผงปถมังนั้นมาทำเป็นผงอิทธิเจ แล้วสร้างต่อเนื่องจากผงเดิมจนครบกระบวนการทั้ง 5 เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสร้างวัตถุมงคลเนื้อผง
ขั้นตอนการทำผงวิเศษ 5 ประการ ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จ พระพุฒนาจารย์ (โต พรหมรังสี) ประกอบด้วยขั้นตอนดังต่อไปนี้
ขั้นตอนที่ 1 การสักการะบูรพาจารย์
นับเป็นประเพณีในการเรียนรู้วิชามาตั้งแต่ครั้งโบราณที่ผู้ศึกษาจะต้องทำพิธีสักการะบูรพาจารย์ก่อนกระทำการใดๆ เพื่อความเป็นสิริมงคล สิ่งที่นำมาบูชาครูอาจารย์ประกอบไปด้วย
ดอกไม้ 9 สี
ธูป 9 ดอก
เทียน 9 เล่ม
บายศรีปากชาม
ขนมต้มแดง ขนมต้มขาว
มะพร้าวอ่อน กล้วยน้ำว้า
หัวหมู เป็ด ไก่ ปลาช่อนนึ่งทั้งตัวไม่ขอดเกล็ด
ถั่วคั่ว งาคั่ว ข้าวตอก นม เนย
ขันล้างหน้า ผ้าขาว ผ้าแตง และเงินค่าบำรุงครู 6 บาท
จากนั้นให้บูชาพระรัตนตรัยแล้วเริ่มบทสวดบูชาพระรัตนตรัย ต่อด้วยบทอัญเชิญทวยเทพ บทอัญเชิญครูโองการสรรเสริญครูและโองการชุมนุมครู
ขั้นตอนที่ 2 การเรียกสูตร
ขั้นตอนนี้ก็คือการฝึกหัดเขียนอักขระเลขยันต์ต่างๆ นานาอันประกอบด้วยการบริกรรมสูตรพระคาถาต่างๆด้วย “ดินสอผงวิเศษ” ซึ่งสร้างจากส่วนผสมอันประกอบด้วย
ดินโป่ง 7 โป่ง (ดินที่มีเกลือสินเธาว์ผุด พบอยู่ตามป่าทั่วไป 7 แห่ง)
ดินตีนท่า 7 ตีนท่า (ดินจากท่าน้ำ 7 แห่ง)
ดินหลักเมือง 7 หลักเมือง (ดินจากหลักเมือง 7 เมือง)
ขี้เถ้าไส้เทียนบูชาพระประธานในพระอุโบสถ
ดอกกาหลง
ยอดสวาท
ยอดรักซ้อน
คราบไคลเสมา (คราบไคลบนใบเสมา)
คราบไคลประตูเมือง
คราบไคลเสาตะลุงช้างเผือก (คราบไคลจากเสาหลักคู่สำหรับล่ามช้างเผือก
ราชพฤกษ์ (ไม้ต้นราชพฤกษ์ตากแห้งป่นเป็นผง
พลูร่วมใจ (ใบพลูที่มีปลายใบแยกเป็น 2 แฉก)
กระแจะตะนาว (ชื่อต้นไม้ขนาดเล็ก)
น้ำมันเจ็ดรส (น้ำมันที่ได้จากของ 7   ประเภท จะเป็นพืชหรือสัตว์ก็ได้)
ดินสอพอง
เมื่อได้วัตถุทั้งหมดก็นำมาผสมรวมกันจนได้ดินสอพอผงวิเศษแล้วก็จะเข้าสู่วงการทำกรรมวิธีสร้างผงวิเศษที่จะต้องกระทำในพระอุโบสถ
โดยเตรียมเครื่องสักการะเช่นเดียวกับการคำนับครูโดยตั้งของต่างๆไว้เบื้องหน้าพระประธาน จุดธูปเทียนบูชาพระ ยกถาดบรรจุสิ่งของเหล่านั้นขึ้น แล้วกล่าวคาถาอัญเชิญครู ประกาศอัญเชิญเทพยดา ทำน้ำมันชำระล้างตัวให้สะอาดแล้วเอาน้ำมันราดชำระให้ทั่วร่างกาย พรมตัวเรียกอักขระเข้าตัว และอัญเชิญครูเข้าตัว
ขั้นตอนที่ 3 การทำผงวิเศษ
เริ่มต้นการทำผงปถมังตามสูตร ปฐมพินธุ (ปัด-ทะ-มัง-พิน-ทุ เป็นบทพระเวทย์ชั้นสูงที่ว่าด้วยการเกิด)  การทำผงปถมังคือ การนำเองผงเครื่องยาที่ผ่านกรรมวิธีที่กล่าวมาข้างต้นมาปั้นเป็นดินสอขึ้นแล้วเขียนเรียกสูตรและลบ เขียนแล้วลบ จนหมดสิ้นดินสอที่ปั้นขึ้น ก็จะได้ผงปฐม ขั้นตอนนี้ใช้เวลาประมาณ 3 เดือน
ต่อมาก็ทำผงอิทธิเจซึ่งเกิดจากการนำเองผงปถมังที่ทำสำเร็จแล้วมาปั้นเป็นดินสอขึ้นอีกแล้วเขียนอักขระด้วยสูตรมูลกัจจายน์และลบด้วยสูตรลบผงอิทธิเจ ผงที่ได้จากการลบนี้เรียกว่า “ผงอิทธิเจ” ใช้เวลาประมาณ 3 วันและต้องเขียนให้หมดสิ้นดินสอที่เตรียมไว้
ต่อมาก็ทำผงมหาราชโดยใช้ผงอิทธิเจมาปั้นเป็นดินสอขึ้นอีกแล้วเรียกสูตรมหาราช แล้วลบสูตรที่เขียนด้วยนามทั้ง 5 เขียนแล้วลบ ลบแล้วเขียนจนหมดสิ้นดินสอจนเกิดผงใหม่ที่ชื่อ “ผงมหาราช”
ต่อมาก็ทำผงพุทธคุณโดยใช้ผงมหาราชมาปั้นทำเป็นดินสอเรียกสูตร และลบอักขระเกี่ยวกับพุทธคุณนานาประการ นับตั้งแต่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประสูติ ตรัส จวบจนเสด็จสู่พระปรินิพพาน เขียนแล้วลบ ลบแล้วเขียน จนหมดสิ้นดินสอ แล้วก็จะได้ผงพุทธคุณ
ต่อมาก็ถึงขึ้นตอนการทำผงตรีนิสิงเหซึ่งนับเป็นผงสุดท้ายเกี่ยวกับสูตรเลขไทยโบราณเกิดจากการรวบรวมเอาผงพุทธคุณที่ลบได้มาปั้นเป็นดินสอโยเรียกสูตรอัตอาวาทวาทศมงคล 12 เขียนสูตรไล่เรียงไปจนสำเร็จเป็นอันตราตรีนิสิงเห เข้าสู่รูปอัตตรายันต์ 12 ยันต์จนสุดท้ายได้รูปยันต์นารายณ์ถอดรูปซึ่งประกอบด้วยยันต์ประจำขององค์ตรีนิสิงเห แล้วมียันต์พระภควัมบดี และยันต์ตราพระสีห์ประทับลงเป็นประการสุดท้าย
ในเรื่องการทำพระเนื้อผงนี้ อาจารย์เทพย์ สาริกบุตรผู้ทรงคุณวุฒิทางพุทธาคมได้เคยกล่าวไว้ว่า...
“ในเรื่องการทำผงนี้มีตำรับที่จะทำมากมายนัก นอกจากตำรับทั้ง 4 ที่ยกมาอ้างนี้ คือ ปถมัง อิทธิเจ มหาราช ตรีนิสิงเห เพราะตำรับ ทั้งสี่นี้เป็นแม่บทใหญ่ ส่วนที่แตกแยกฝอยออกไปอีกนั้น ยังมีอีกมาก เช่น ผงพุทธคุณ เป็นต้น โดยเฉพาะผงพระพุทธคุณนั้น มีวิธีทำหลายวิธีด้วยกันผงเหล่านี้มีคุณภาพดุจกันทั้งสิ้น อาศัยแรงความปรารถนาอธิษฐานของผู้กระทำ จะมุ่งให้มีอานุภาพไปทางไหน พระเครื่อง เครื่องรางที่ทำด้วยเกสร หรือ ผงที่ได้สร้างแต่ครั้งโบราณล้วนแต่สร้างขึ้นมาจากผงเหล่านี้ทั้งสิ้น”
เมื่อได้ผงวิเศษเป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงนำมาคลุกเคล้ากับวัตถุมงคลอันประเสริฐที่ผ่านการบดละเอียดแล้ว แล้วจึงผสมผงปูนเปลือกหอยที่บดละเอียดแล้ว ประสานมวลสารทั้งหมดด้วยกล้วยน้ำว้า และน้ำมันตังอิ๊วจนได้มวลสารรวมมีลักษณะเป็นแป้งเหนียวพอที่จะปั้นได้

ขั้นตอนที่ 4 การแกะแม่พิมพ์
สำหรับขึ้นตอนนี้คือการแกะแม่พิมพ์พระซึ่งมีหลายฝีมือ ทั้งช่างราษฎรสามัญไปถึงช่างหลวงในราชสำนักซึ่งดูได้จากความงดงามลงตัวขององค์พระ เมื่อช่างแกะจนได้แม่พิมพ์เป็นที่พอใจแล้วจึงนำส่วนผสมข้างต้นมากดลงในแม่พิมพ์ก่อนที่จะใส่มวลสารลงไป และเพื่อป้องกันไม่ให้เนื้อพระติดกับแม่พิมพ์ก็จะนำผงปูนมาโรยลงในพิมพ์ก่อนที่จะหยอดเนื้อมวลสารลงไป เมื่อกดพิมพ์ได้ที่แล้วก็จะทำการตัดตอกเนื้อส่วนเกินที่ปลิ้นล้นจากแม่พิมพ์แล้วจึงเคาะองค์พระออกจากแม่พิมพ์ สำหรับการโรยผงปูนไว้ก่อนนั้นจะทำให้พระไม่ติดพิมพ์ซึ่งนับเป็นคุณสมบัติพิเศษอีกประการหนึ่งในการช่วยพิจารณาพระแท้ ในครั้งแรกที่พระนำออกจากแม่พิมพ์ใหม่ จะมีความเปียกชื้นของผิวมวลสาร ดังนั้นจึงจำเป็นต้องนำไปผึ่งแดดให้แห้งสนิทเสียก่อน
ขั้นตอนที่ 5 การปลุกเสกพระ
การปลุกเสกพระเครื่องที่สร้างนั้นเราสามารถแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะด้วยกันได้แก่...
การอธิษฐานจิต วิธีนี้เป็นการใช้พลังอำนาจจิตประจุพุทธานุภาพลงไปในองค์พระ สำหรับเกจิที่มีญาณแก่งกล้าจะสามารถอธิษฐานจิตได้จนพระเครื่ององค์นั้นๆเปี่ยมด้วยพระพุทธคุณ
การปลุกเสกเดี่ยว วิธีนี้เป็นการกระทำโดยการให้พระเครื่องผ่านการบริกรรมพระคาถา เจริญภาวนาปลุกเสกด้วยพระเกจิเพียงรูปเดียว
การปลุกเสกหมู่ วิธีนี้เป็นการกระทำโดยการให้พระเครื่องผ่านการบริกรรมพระคาถา เจริญภาวนาปลุกเสกด้วยพระเกจิหลายรูป
ตัวอย่างพระเนื้อผงยอดนิยมในวงการ
เจ้าของพระ: อรุณฉาย
พระสมเด็จอรหัง วัดมหาธาตุ กรุงเทพมหานคร ต้นตำรับพระสมเด็จเมืองไทย เป็นพระพิมพ์เก่าแก่ที่มีความเหมือนกับ “พระสมเด็จ” อันลือชื่อที่สร้างโดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ค่อนข้างมาก สร้างโดยเจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราชเจ้า (สุก ไก่เถื่อน) ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักและเคารพเลื่อมใสของพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศเนื่องจากท่านเป็นพระอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) นั่นเอง
พระสมเด็จอรหังจะใช้ปูนเปลือกหอยเป็นมวลสารหลักในการสร้างเช่นเดียวกันกับพระสมเด็จวัดระฆัง และส่วนผสมอื่นๆ ก็คล้ายคลึงกัน เช่น ผงวิเศษ 5 ประการ ร่องรอยการหดตัวก็จะเหมือนกัน ด้วยมวลสารและอายุขององค์รพระใกล้เคียงกัน แต่อย่างไรก็ตามเนื้อของพระสมเด็จอรหังจะมี 2 สีคือเนื้อขาวและเนื้อแดง
สันนิษฐานว่าอาจจะมีการผสมปูนกินหมากหรือพิมเสนเข้าไป เมื่อผสมกับปูนเปลือกหอยทำให้เนื้อมวลสารกลายเป็นสีแดง
“พระสมเด็จอรหัง วัดมหาธาตุ” เป็นพระเนื้อผง รูปสี่เหลี่ยมชิ้นฟัก องค์พระประทับนั่ง แสดงปางสมาธิ บนฐานสามชั้น และมีซุ้มครอบแก้วเช่นเดียวกับพระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม แต่จะมีพุทธลักษณะที่เป็นเอกลักษณะเฉพาะคือ แม่พิมพ์เป็นแม่พิมพ์ที่ใช้แผ่นหินอ่อนและถอดองค์พระออกมาจากแม่พิมพ์ ไม่ต้องมีการตอกตัด ดังนั้นจึงปรากฏเส้นขอบนูนทะลักขึ้นมาทั้ง 4 ด้าน อันเป็นเอกลักษณะสำคัญประการหนึ่ง เส้นซุ้มครอบแก้วเป็นเส้นเล็กและบาง
พระเกศเป็นเส้นเล็ก คม และยาว พระพักตร์กลม พระกรรณทั้งสองข้างเป็นเส้นเล็กนูนและคม ข้างขวาขององค์พระจะชิดพระพักตร์มากกว่าข้างซ้าย ลำพระศอเป็นเส้นคม พระอุระเป็นรูปตัววี (V) มีเส้นอังสะ 2 เส้น คมและชัดเจนมาก และพระพาหาเป็นรูปวงกลมด้านหลังมีรอยเหล็กจารึกลงไปในเนื้อว่า “อรหัง” และพื้นผิวจะปรากฏรอยเหี่ยวย่นและการยุบตัวของเนื้อพระคล้ายเส้นพรายน้ำหรือกาบหมาก ลักษณะเหมือนนำกาบหมากมากดเพื่อให้เนื้อแน่นมองดูคล้าย “หลังกาบหมาก” เว้นแต่เพียงพิมพ์เดียว คือ พระสมเด็จอรหัง พิมพ์ชิ้นฟัก เนื้อขาว พิมพ์ด้านหลังเป็นพื้นเรียบธรรมดา
พระสมเด็จอรหัง วัดมหาธาตุ สมเด็จพระสังฆราชสุก กรุงเทพมหานคร เป็นพระพิมพ์เก่าแก่ที่น่าสนใจสะสมพิมพ์หนึ่ง ซึ่งสนนราคา ณ ปัจจุบัน ยังพอเช่าหาได้อยู่ แต่ของปลอมก็ค่อนข้างมากต้องพิจารณาให้ละเอียด สมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวโร) เป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้ทรงสร้างไว้สมเด็จพระสังฆราชสุก เดิมท่านอยู่ที่วัดพลับ (วัดราชสิทธาราม) ครั้งสุดท้ายที่ได้รับพระราชทานสถาปนาให้เป็นสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริยานก ลำดับที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ แล้วย้ายมาประทับที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ และที่วัดนี้เองซึ่งท่านได้แจกพระสมเด็จอรหังและบรรจุกรุเอาไว้ส่วนหนึ่ง
พระเครื่องที่พบที่วัดมหาธาตุเป็นพระเนื้อสีขาวที่ด้านหลังมักเป็นแบบหลังจาร
ต่อมามีผู้พบพระแบบเดียวกันที่วัดสร้อยทองอีกซึ่งพบบรรจุไว้ในองค์พระเจดีย์ แต่พระที่พบมักเป็นแบบเนื้อสีแดง มีพบเป็นแบบเนื้อขาวบ้างแต่ก็น้อยมาก และพระที่พบที่วัดสร้อยทองนั้นมักเป็นพระเนื้อหยาบกว่าที่พบที่วัดมหาธาตุฯ



กลวิธีการสร้างพระเนื้อโลหะประเภทต่างๆ
กริ่งเขมรน้อย วัดสุทัศน์
เจ้าของพระ : พิเชษฐ์ ราชบุรี
การสร้างพระเนื้อโลหะนี้จะประกอบด้วยการสร้าง 3 ประเภทด้วยกัน คือ พระหล่อ พระปั๊ม และพระฉีดโดยพระเครื่องเนื้อโลหะต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ในวงการพระ ประกอบด้วย เนื้อทองคำ เนื้อเงิน เนื้อทองแดง และเนื้อโลหะผสม แต่อย่างไรก็ตามโลหะผสมที่ได้รับความนิยมในการสร้างพระเครื่องได้แก่ “นวโลหะ”
ซึ่งก็คือการนำแร่ธาตุต่างๆ 9 ชนิดมาหลอมรวมกันโดยประกอบไปด้วย
บริสุทธิ์ น้ำหนัก 4 บาท (ทองแดงบริสุทธิ์)
สังกะสี น้ำหนัก 6 บาท
ทองแดง น้ำหนัก 7 บาท
เงิน น้ำหนัก 8   บาท
ปรอท น้ำหนัก 5  บาท
ทองคำ น้ำหนัก 9 บาท
ชิน น้ำหนัก 1 บาท
จ้าวน้ำเงิน น้ำหนัก 2 บาท (แร่ชนิดหนึ่ง)
เหล็กละลายตัว น้ำหนัก 3 บาท
นอกจากนวโลหะแล้วยังมีสัตตะโลหะคือ โลหะผสม 7   ชนิด ซึ่งประกอบด้วย เหล็ก ปรอท ทองแดง เงิน ทองคำ จ้าวน้ำเงิน และบริสุทธิ์ ตามอัตราส่วนของแต่ละตำรา นอกจากนี้ยังมีเบญจโลหะซึ่งหมายถึงโลหะผสม 5 ชนิดซึ่งประกอบด้วย เหล็ก ปรอท ทองแดง เงิน และทองคำ อัตราส่วนตามความเหมาะสม
ทองเหลืองก็นับเป็นโลหะที่นิยมใช้กันมากในการสร้างพระเครื่อง และอาจจะมีธาตุอื่นปะปนอยู่บ้างเล็กน้อย เช่น ตะกั่ว ดีบุก อะลูมิเนียม เหล็ก แมงกานีส นิเกิล เป็นต้น นอกจากทองเหลืองยังมีบรอนซ์ซึ่งก็คือโลหะผสมระหว่างดีบุกกับทองแดง
พระปิดตาเมฆสิทธิ์ วัดอนงค์
เมฆพัดและเมฆสิทธิ์ โดยเมฆพัดจะเป็นโลหะผสมที่เกิดจากการนำแร่โลหะต่างๆ หลายชนิด เช่น เหล็กทองแดง ดีบุก ตะกั่ว เงิน ทองคำ เป็นต้น
ในระหว่างการหุงแร่จะขัดด้วยกำมะถัน จนเกิดเป็นสีมันแวววาว ออกเหลือบสีน้ำเงิน และส่วนเมฆสิทธิ์จะเป็นโลหะผสมที่มีการเล่นแร่แปรธาตุอันประกอบด้วยแร่ธาตุ 4 ชนิด คือ เงิน สังกะสี ทองแดง และปรอทของแต่ละสำนัก และขณะที่ทำการหลอมรวมจะต้องบริกรรมพระคาถาต่างๆไปด้วย
การหล่อพระแบบสมัยใหม่
การปั้มพระ ช่างจะแกะสลักแม่พิมพ์ซึ่งมี 2 ด้านประกอบกันซึ่งเรียกว่า “แม่พิมพ์ตัวผู้ และแม่พิมพ์ตัวเมีย” แต่หากต้องการทำพระเหรียญจะต้องทำตัวตัวตัดขึ้นอีกตัวหนึ่ง
การสร้างพระในปัจจุบันนั้นนิยมใช้วิธีการนี้เป็นอย่างมาก
เนื่องจากต้องการสร้างพระเครื่องในปริมาณมาก สำหรับโลหะจะมาทำการปั๊มพระจะเป็นโลหะที่เย็นตัวแล้ว แล้วจึงนำเข้าเครื่องปั๊มพระทีละองค์ พระเครื่องที่ได้จะมีความเหมือนกันทุกองค์
การฉีดพระ ช่างจะทำการแกะแม่พิมพ์ด้วยขี้ผึ้ง ถอดพิมพ์ด้วยยางทำฟันเพื่อเก็บรายละเอียดต่างๆให้ครบถ้วน จากนั้นจึงจะใช้ปูนทำฟันฉีดเข้าพิมพ์ยาง แล้วนำใส่เข้ากระบอกเหวี่ยงเพื่อไล่โลหะให้เข้าไปตามกระบอกโดยผ่านท่อแรงเหวี่ยงจะทำให้โลหะซึมกระจายไปยังทุกส่วนของแม่พิมพ์ จนทำให้ได้องค์พระที่งดงามครั้งละหลายองค์
การหล่อแบบเทพิมพ์เย็น ช่างจะแกะแม่พิมพ์ด้วยขี้ผึ้งแล้วใช้ปูนปาสเตอร์พอกหุ่น แล้วจึงเอาขี้ผึ้งออกซึ่งสมัยก่อนจะต้องทำกันในขณะที่แม่พิมพ์ยังร้อน แต่ในสมัยใหม่จะเป็นการเทพิมพ์เย็นด้วยวิธีการนี้สามารถสร้างพระได้เป็นช่อ และช่อละหลายองค์ในครั้งเดียว
การหล่อพระแบบโบราณ
พระหล่อโบราณเป็นวิธีการที่ใช้ในการสร้างรูปหล่อ และเหรียญหล่อโบราณซึ่งส่วนมากจะขาดความละเอียดของเส้นสายต่างๆ จนทำให้องค์พระขาดความคมชัดสวยสด หากแต่ทำให้เกิดธรรมชาติของการหล่อโบราณซึ่งนับเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของพระหล่อโบราณและยังทำให้ยากแก่การทำเก๊เลียนแบบอีกด้วย
สำหรับขั้นตอนการหล่อแบบโบราณประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆดังต่อไปนี้
ขั้นตอนที่ 1 การขึ้นหุ่นดิน ช่างจะแกะหุ่นดินตามรูปร่างที่ต้องการ จากนั้นจึงนำมาหล่อเป็นองค์พระโดยจะเรียกว่า “แกนหุ่นดิน”
ขั้นตอนที่ 2 เข้ารูปหุ่นขี้ผึ้ง เมื่อได้แกนหุ่นดินที่หล่อเรียบร้อยแล้ว ช่างก็จะนำขี้ผึ้งมาพอกองค์พระ แกะตกแต่งรายละเอียดจนสวยงามเป็นที่น่าพอใจ
ขั้นตอนที่ 3 พอกด้วยดินขี้วัว เมื่อได้รูปขี้ผึ้งแล้วก็นำดินขี้วัวมาพอกให้ทั่วองค์พระหุ่นขี้ผึ้ง แล้วเจาะรูตรงปลายเพื่อเอาไว้ให้ขี้ผึ้งไหลออกมาเมื่อถูกความร้อนในตอนหล่อพระ
ขั้นตอนที่ 4 เทโลหะหลอมละลาย นำโลหะหลอมละลายเทลงในแม่พิมพ์ความร้อนจะทำให้ขี้ผึ้งละลายออกมาจากรูที่เจาะเอาไว้และโลหะหลอมละลายก็จะเข้าไปแทนที่ขี้ผึ้งจนได้รูปองค์พระตามที่ช่างได้แกะสลักเอาไว้
ขั้นที่ 5   ทุบเบ้าแม่พิมพ์ เมื่อโลหะหลอมละลายจับตัวกันจนเย็นดีแล้วช่างก็จะทำการทุบเบ้าดินที่หุ้มองค์พระไว้ออกให้หมดนำองค์พระที่ได้มาเก็บรายละเอียดด้วยการตะไบ และขัดแต่งจนสวยงาม
ตัวอย่างพระเนื้อโลหะยอดนิยมในวงการ
เหรียญจอบใหญ่ หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน
เจ้าของพระ: มาณพ 3 (นพ.มาณพ โกวิทยา)
ในทุกวันนี้เหรียญหล่อและรูปหล่อของหลวงพ่อเงินมีราคาเช่าสูงมาก
เนื่องจากเป็นที่นิยมของวงการพระเครื่องโดยเฉพาะในหมวดหมู่พระหล่อโดยเซียนน้อย –ใหญ่ต่างพากันลงความเห็นให้เหรียญหล่อและรูปของหลวงพ่อเงินเป็นสุดยอดอันดับหนึ่งในด้านเหรียญหล่อและรูปหล่อของเกจิอาจารย์
หลวงพ่อเงินท่านเป็นพระภิกษุรุ่นเก่า เกิดเมื่อราวๆเกือบ 200 ปีมาแล้ว เหรียญหล่อ-รูปหล่อหลวงพ่อเงิน วัดบางคลานนั้นเป็นรูปหล่อพระเกจิที่เก่าแก่ที่สุด
นั่นจึงนับได้ว่าหลวงพ่อเงินท่านเป็นพระภิกษุที่สร้างรูปเหมือนแบบพระเครื่องเป็นรูปแรก
ในหนังสือพระเครื่องปริทัศน์ ฉบับที่ 16 ฉบับที่ 20 และฉบับที่ 21   ให้รายละเอียดประวัติการสร้างหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน ซึ่งเขียนโดย “มัตตัญญู” มีข้อความว่า...
“ผู้สร้างพระหลวงพ่อเงิน บางคลาน เป็นลูกช่างหล่อผู้หนึ่งที่สืบเชื้อสายมาโดยตรง เป็นสตรีเพศ มีนามว่า วัณ นามสกุล หลังมีเรือนแล้วคือ สุทัศน์ ซึ่งเป็นภริยาของ ม.ร.ว.เดช สุทัศน์ ในประมาณกลางปี พ.ศ. 2460  โดยทางวัดได้แจ้งความประสงค์ที่ว่าต้องการหล่อรูปเหมือนหลวงพ่อเป็นทองเหลืองในสองแบบด้วยกัน แบบหนึ่งเป็นรูปหล่อลอยตัว และอีกแบบหนึ่งเป็นแบบแบน ให้มีหูเพื่อสะดวกในการร้อยเชือกห้อยติดตัว โดยต้องการให้แต่ละแบบมี 2 ขนาด”
“การหล่อ การหล่อหลวงพ่อนั้น จัดเป็นพิธีการโดยมีหลวงพ่อเป็นประธานในพิธี ช่วงเข้าพิธีนุ่งขาวห่มขาว เวลาในการเททองเป็นไปตามฤกษ์กำหนดวิธีการหล่อ ดำเนินการตามแบบโบราณ ไม่เหมือนการหล่อพระในยุคปัจจุบันที่มีวิธีการสมัยใหม่มาช่วยให้ง่ายขึ้นที่กล่าวเรื่องการหล่อทั้งมวลมาแล้วนี้เป็นการหล่อในพิธีใหญ่ที่จัดขึ้นที่วัด (ประเภทเนื้อทองเหลือง) ส่วนรูปลอยตัวและเหรียญหลวงพ่อประเภทเนื้อเงินนั้น ได้มีการจัดพิธีหล่อต่างหาก โดยหล่อที่บ้านผู้สร้างเอง”
สำหรับความศักดิ์สิทธิ์และค่านิยมของเหรียญและรูปหล่อหลวงพ่อเงินนั้นเป็นที่เลื่องลือกันไปทั่ว เซียนพระทั้งหน้าใหม่หน้าเก่าต่างก็อยากได้มาครอบครองด้วยกันทั้งนั้น สนนราคาค่าเช่าหาค่อนข้างแพงมากๆ
พุทธคุณของพระเครื่องหลวงพ่อเงินนั้นก็มากมายเลิศล้ำนั่นจึงทำให้พระรูปหล่อและเหรียญหล่อของหลวงพ่อเงินเทพเจ้าแห่งบางคลานนั้นเป็นอันดับ 1 มายาวนาน
พระเนื้อว่านนั้นเป็นอย่างไร
จากจารึกในแผ่นลานทองที่พบในกรุวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ สุพรรณบุรี ที่เกี่ยวกับการนำว่านมาผสมผสานสร้างพระเครื่องนั้นมีเนื้อหา ดังนี้...
“ศุภมัสดุ 1265 สิทธิการิยะ แสดงบอกไว้ให้รู้ มีฤาษีทั้งสี่ตนพระฤาษีพิมพิลาไลย์ เป็นประธาน เราจะทำด้วยฤทธี ทำด้วยเครื่องประดิษฐ์มีวุวรรณ เป็นต้น คือบรมกษัตริย์พระยาศรีธรรมโศกราชเป็นผู้ศรัทธาพระฤาษีทั้งสี่ตน จึงพร้อมกันนำเอาแต่ว่านทั้งหลายฤาษีจึงอัญเชิญเทพยดามาช่วยกันทำพิธี ทำเป็นพระพิมพ์ไว้..”
พระเครื่องชั้นนำของวงการไม่ว่าจะเป็นพระรอดมหาวันพระกรุ ทุ่งเศรษฐี พระผงสุวรรณ พระนางพญา พระสมเด็จวัดระฆัง เป็นต้น มักจะพบชิ้นส่วนของ”ว่าน” ผสมผสานอยู่ในเนื้อมวลสารของเนื้อพระและยังมีพระบางประเภทที่มีการนำว่านวิเศษมาเป็นส่วนผสมหลัก จนเป็นหัวใจของเนื้อหามวลสาร
ที่เห็นเด่นๆ ก็น่าจะเป็นพระเนื้อว่านหลวงปู่ทวด วัดช้างให้ ปัตตานี ที่มีการนำดินกากยายักษ์ มาบดเป็นส่วนผสมสำคัญอยู่ในองค์พระ นอกจากนี้ยังพบพระเนื้อว่าน ในพระเครื่องของหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว นครปฐม อีกด้วยซึ่งเรียกกันว่า “พระเนื้อผงวาสนาจินดามณี” กรรมวิธีการสร้างพระเนื้อว่านในสมัยโบราณนั้นจะเริ่มจากการนำว่านวิเศษต่างๆ มาบดให้ละเอียดด้วยการใช้ครกหินตำจนว่านวิเศษแหลกละเอียด
พระเนื้อวาน พิมพ์ซุ้มโค้ง
หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว
อย่างไรก็ตามในกรณีของการสร้างพระหลวงปู่ทวด เนื้อว่านปี พ.ศ. 2497 นั้นมีส่วนผสมสำคัญต่างๆเช่น
1. ว่าน 108 ชนิด
2. ปูนขาว
3. กล้วยป่า
4. ผงขี้ธูป
5. คราบไคลสถูปเก่าที่บรรจุอัฐิหลวงปู่ทวด
6. แร่
7. ดินกากยายักษ์
8. ดอกไม้แห้ง
9. น้ำพระพุทธมนต์
และได้ระบุการสร้างพระเนื้อว่านเอาไว้ดังนี้...
“พิธีกดพิมพ์พระเนื้อว่านมีขึ้น ณ วัดช้างไห้ โดยมีชาวบ้านและพระภิกษุช่วยกันตำว่านด้วยมือโดยใช้ครกตำขณะตำว่านจะต้องท่องคาถาที่พระอาจารย์ทิมระบุไว้ด้วย (ซึ่งในแต่ละวันพระอาจารย์ทิมจะให้ท่องพระคาถาไม่เหมือนกัน) สำหรับแม่พิมพ์หลวงพ่อทวดที่ได้จัดทำขึ้นจากยางครั่งสีดำนั้น
จากข้อมูลหลักฐานต่างๆ กล่าวกันว่าน่าจะมีเบ้าพิมพ์มากกว่า 16 เบ้าพิมพ์ แต่ก็ไม่ทราบจำนวนที่แน่นอน
เหตุที่พระอาจารย์ทิมให้ช่างทำแม่พิมพ์ขึ้นอีกจำนวนหนึ่งนั้นเพราะต้องการที่จะพิมพ์จำนวนพระให้ได้ 84,000 องค์ แต่ไม่สามารถกดพิมพ์พระได้จำนวนที่ตั้งไว้ โดยได้เพียงประมาณ 64,000 องค์ เนื่องจากระยะเวลามีจำกัด พิธีปลุกเสกในครั้งนั้นมีขึ้นเมื่อวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2497  ซึ่งตรงกับวันอาทิตย์ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 เวลา 12.00 น. เมื่อทำพิธีปลุกเสกเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงได้ใส่ไว้ในบาตรพระให้ประชาชนเช่าบูชาโดยไม่กำหนดจำนวนเงินสุดแล้วแต่ความศรัทธาของประชาชน”
การตำโขลกส่วนผสมของพระเนื้อว่านนั้นสมัยก่อนจะใช้ครกหินหลายใบในการตำเนื้อว่านกับดินดำเสียก่อน
เมื่อละเอียดแล้วจึงใส่ปูนขาวลงไปเล็กน้อย แล้วใส่กล้วยป่าทั้งเนื้อทั้งเม็ดตำโขลกไปมา จนเหนียวข้น ต่อมาก็ใส่ผงธูป ดอกไม้แห่ง แร่ศักดิ์สิทธิ์ และดินกากยายักษ์ผสมลงไป
อย่างไรก็ดี ส่วนผสม และสีสันวรรณะของเนื้อพระจะไม่เป็นมาตรฐานเดียวกัน นั่นก็เพราะบางองค์มีสีดำจัดเพราะใส่ดินกากยายักษ์มาก บางองค์มีสีเทาค่อนข้างขาวเพราะใส่ปูนขาวลงไปมากนั่นเอง  พระเนื้อว่านบางองค์ร่อนก็แกะออกจากแม่พิมพ์ได้ง่าย แต่ส่วนใหญ่ต้องใช้ไม้เสียบใต้ฐานองค์พระเพื่องัดองค์พระออกมาจากแม่พิมพ์แล้วจึงนำผงแร่มาแปะที่ด้านหลังขององค์พระ
นับแต่โบราณกาลนานมาแล้วที่ชนชาติไทยของเรามีความผูกพันกับพืชตระกูลว่าน เนื่องจากว่านในเมืองไทยนั้นมีคุณค่าทั้งในการทำยารักษาโรคและยังเชื่อกันว่าเสริมสร้างความเป็นสิริมงคลดังนั้นเมื่อมีการสร้างสิ่งมงคลในรูปพระเครื่อง เครื่องว่านเกสรดอกไม้อันมีสรรพคุณวิเศษต่างๆ จึงทำให้นักนิยมพระเครื่องต่างก็ให้ความสนใจพระเนื้อว่านเป็นอย่างมาก
ตัวอย่างพระเนื้อว่านยอดนิยมในวงการ
เจ้าของพระ : ร้านพระเครื่องเมืองสยาม
หากพูดถึงพระเนื้อว่านชื่อแรกที่นึกถึงนั่นก็คือพระหลวงพ่อทวด รุ่นแรก พ.ศ.2497
เนื่องจากเป็นพระเครื่องเนื้อว่านที่มีพุทธคุณสูงล้ำ และหายากจนเกือบจะกลายเป็นพระในตำนานไปแล้ว หากูพระแท้ๆก็ยากมากอีกด้วยเนื่องจากนักสะสมรุ่นแรกๆเก็บพระไปบูชาเกือบหมดแล้ว ส่วนใหญ่มักเจอแต่พระฝีมือ (ของปลอม) และนักสะสมหน้าใหม่มักดูพระเนื้อว่านไม่เป็น ไม่เข้าใจถึงธรรมชาติของพระเนื้อว่านอย่างถูกวิธี ดังนี้...
พระหลวงพ่อทวด รุ่นแรก พ.ศ.2497   นั้นทำมาจากว่านสด 108 อย่างผสมกับดินกากยายักษ์แล้วมาตำมาบดแล้วผสมรวมกันหลังจากนั้นก็นำไปกดลงในเบ้าพิมพ์ออกมาเป็นองค์พระและมวลสารของพระหลวงพ่อทวด เนื้อองค์พระนั้นไม่ว่าจะแก่ดินหรือแก่ว่านก็ล้วนมีมวลสารที่เห็นได้ชัดเจนทุกองค์ นอกจากนี้ยังมีเม็ดแร่ที่โรยอยู่ด้านหลังองค์พระหลวงพ่อทวดอีกด้วย นอกจากนี้ส่วนผสมของมวลสารทั้งหมดในขณะนั้นยังเปียก นั่นจึงทำให้องค์พระมีน้ำว่านมาเคลือบที่ผิวนอก มีลักษณะคล้ายยางสีน้ำตาลบางๆ สิ่งสำคัญคือต้องพิจารณา ถึงความแห้งเก่าขององค์พระซึ่งจะต้องดูเป็นธรรมชาติ
จากประสบการณ์ที่เกิดขึ้น และเป็นที่ประจักษ์แจ้งมาแล้วมากมายจากผู้ที่นำพระหลวงปู่ทวดเนื้อว่านไปบูชาจนทำให้เกิดความศรัทธาของประชาชนทั่วประเทศและที่สำคัญทำให้พระรุ่นนี้หายากยากมาก
และที่สำคัญที่สุดก็เห็นจะเป็นในเรื่องของราคาค่าเช่าหาที่สูงมาก ใครมีก็ไม่อยากจะปล่อยกันเลยทีเดียวเพราะใครได้ไปครอบครองก็มักจะหวงแหนด้วยกันทั้งนั้น
อะไรคือเครื่องรางของขลัง
คำว่า “เครื่องรางของขลัง” ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ให้ความหมายสั้นๆ เอาไว้ว่า...
เครื่องราง น. ของที่นับถือว่าป้องกันอันตราย ยังไม่ออก ฟันไม่เข้า เช่น ตะกรุด ผ้ายันต์ เหล็กไหล
ของขลัง น. ของที่มีอำนาจศักดิ์สิทธิ์ที่เชื่อกันว่าอาจบันดาลให้สำเร็จได้ดังประสงค์
แต่สำหรับในวงการพระเครื่องแล้ว “เครื่องรางของขลัง มีความหมายมากกว่านั้น  โดยแยกออก
เป็นคำ ๆ ดังนี้...
เครื่องราง หมายถึง วัตถุสิ่งของใดๆ ที่พระเกจิอาจารย์ ฆราวาสหรือผู้รู้ได้ทำการปลุกเสกขึ้นมาเพื่ออุปเท่ห์ในการใช้เครื่องราง เช่น ผ้าประเจียด เบี้ยแก้ ลูกอม ตะกรุด ผ้ายันต์ หนังหน้าผากเสือ ไม้ครู มีดหมอ ปลัดขิก น้ำเต้า กะลาตาเดียว รักยม กุมารทอง ชูชก ฤาษี หุ่นพยนต์ ราหูอมจันทร์ หมากทุย แหวนพิรอด เชือกคาดเอว เชือกคาดแขน ท้าวเวสสุวรรณ นางกวัก พ่อแก่ (ฤาษี) เป็นต้น
ของขลัง หมายถึง ของทนสิทธิ์ วัตถุใดๆ ที่มีดีในตัวเอง
โดยพระเกจิอาจารย์ไม่ได้ทำการปลุกเสกเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น เหล็กไหล เขี้ยวหมูตัน เขากวางคุด เขี้ยวเสือกลวง ข้าวสารหิน เป็นต้น
สรุปแล้วคำว่า “เครื่องรางของขลัง” นั้นก็หมายถึงของศักดิ์สิทธิ์ใดๆที่มีดีในตัวเอง และได้ผ่านกรรมวิธีปลุกเสก หรือลงอักขระเลขยันต์โดยพระเกจิอาจารย์ผู้ทรงวิทยาคมนั่นเอง สำหรับประเทศไทยนั้นมีการค้นพบเครื่องรางของขลังมาแต่ยุคสุโขทัยแล้ว นอกจากนี้เครื่องรางของขลังก็ยังแพร่หลายไปทุกๆ อารยธรรมทั่วโลก เพียงแต่ว่า อยู่ในรูปลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไปเท่านั้นเอง
วัสดุแทบจะทุกชนิดในโลกนี้นั้นสามารถนำมาเป็นเครื่องรางของขลังได้ ขอเพียงแต่ได้ผ่านการอธิษฐานจิตลงคาถาอาคมจากผู้สร้างที่เข้มขลังทรงพลัง แต่ออย่างไรก็ตามพระเกจิอาจารย์โบราณผู้มากล้นด้วยวิทยาคมก็จะนิยมสร้างเครื่องรางของขลังไว้ให้เฉพาะแก่ผู้ใกล้ชิด ดังนั้นการสร้างเครื่องรางของขลังจึงเป็นวัตถุมงคลที่สร้างเฉพาะตัว และมีรูปแบบเอกลักษณ์พิเศษไม่เหมือนกันในแต่ละเกจิอาจารย์ ดังนั้นเครื่องรางของขลังจึงเป็นวัตถุมงคลที่ไม่มีรูปร่างตายตัว
การศึกษาเรื่องเครื่องรางของขลังจึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก
เนื่องจากเครื่องรางของขลังในประเทศไทยนั้นมีอยู่มากมายหลายชนิด และถือได้ว่าเป็นวัตถุมงคลประเภทหนึ่งที่ได้รับความนิยมศรัทธากันมาก อาทิ เช่น...
เขี้ยวเสือหลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย สมุทรปราการ
เจ้าของร้าน: ร้านเทียม ปัตตานี
แพะหลวงพ่ออ่ำ  วัดหนองกระบอก ระยอง
เจ้าของ : ร้านบ้านเหนือ (มนต์ชัย เกียรติเจริญ)
ปลัดขิกหลวงพ่อเหลือ  วัดสาวชะโงก ฉะเชิงเทรา
เจ้าของ :   Thaipra
ลิงหลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว ฉะเชิงเทรา
เจ้าของ : Thaipra
หนุมานหลวงพ่อสุ่น วัดศาลากุล นนทบุรี
เจ้าของ : Thaipra)
เบี้ยแก้หลวงปู่รอด วัดนายโรง กรุงเทพฯ
เจ้าของ : ร้านโบราณศิลป์ (มนตรี เฉลิมสถาน)
สิงห์หลวงพ่อหอม วัดซากหมาก ระยอง
เจ้าของ : krusiam.com
ตัวอย่างเครื่องรางของขลังยอดนิยมในวงการ
หากจะกล่าวถึงเครื่องรางของขลังประเภทศาสตราวุธแน่นอนเหลือเกินที่ทุกท่านจะต้องนึกถึง”มืดหลวงพ่อเดิม” เป็นอย่างแรก เนื่องจากว่าเป็นสิ่งที่ยอมรับนับถือกันมานมนานตั้งแต่สมัยตายาย หลวงพ่อเดิม พุทธสโร วัดหนองโพ ตาคลี นครสวรรค์ ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังและลือเลื่องในด้านวิทยาอาคมเข้มขลังจนได้รับความยกย่องให้เป็น “เทพเจ้าแห่งเมืองสี่แคว” เป็นที่เคารพศรัทธาของพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ
หลวงพ่อเดิม สร้าง “มีดหมอ” ขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2470 เพื่อแจกลูกศิษย์ที่อยู่ห่างไกลด้วยห่วงหาว่าจะได้รับอันตรายของคุณไสยหรือพวกอันธพาล การสร้างครั้งแรกนี้ขนาดของมีดหมอ ค่อนข้างใหญ่ เพื่อให้ควาญช้างได้เหน็บพกติดกาย เซียนในปัจจุบันจึงพากันเรียกว่า “มีดควาญช้าง” ต่อมาลดขนาดลงเป็นขนาดกลางและขนาดเล็กที่เรียกกันว่า “มีดหมอปากา”
เจ้าของ : ร้านสะพานสูง
การสร้าง “มีดหมอ” ของหลวงพ่อเดิมนั้น มีองค์ประกอบคือ ด้ามจะทำจากไม้ และงาช้าง ฝักมีดทำจากไม้ และงาช้าง รัดด้วยแหวนคาดฝักซึ่งอาจทำจากเงิน หรือแบบสามกษัตริย์ คือ ทองคำ เงิน และนาก ใบมีดและกั่นมีด แผ่นประกับกั่นมีด 2 แผ่นซึ่งเป็นเงินและนาก และสุดท้ายคือตะกรุด นั่นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าคุณวิเศษของ “มีดหมอหลวงพ่อเดิม” นั้นจะครบถ้วนกระบวนยุทธขนาดไหน
อนึ่งการพิจารณาเนื้องาขอมีดหมอหลวงพ่อเดิมนั้นก็เรียกได้ว่ายากเอาการอยู่ทีเดียว
เนื่องด้วยการแกะนั้นเป็นงานฝีมือแกะทีละตัว ดังนั้นจึงทำให้ไม่มีรูปแบบมาตรฐานเป็นที่แน่ชัด อย่างไรก็ตามหลักเบื้องต้นในการพิจารณานั่นก็คือเราต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเป็นงาแท้ๆ เสียก่อนโดยสังเกตจากธรรมชาติว่าจะต้องมีสีเหลืองนวล กลมกลืนกันทั้งผิวและเนื้องา เมื่องามีอายุเก่าแก่มากๆ ก็จะ “แตกลายงา” ซึ่งมันจะแตกจากเนื้อในออกมา
เจ้าของร้าน : ร้านศรัตวุธเครื่องราง
นอกจากนี้แล้วพระเกจิที่เป็นศิษย์ของหลวงพ่อเดิมซึ่งมีมากมายก็ล้วนสร้างมีดหมอและงาแกะเช่นเดียวกับพระอาจารย์ ดังนั้นหากผู้ใดสนใจเครื่องรางของขลังเทพศาสตรามีดหมอของหลวงพ่อเดิมแล้วล่ะก็...
ก่อนเช่าหาก็พิจารณาดีๆ หากไม่มั่นใจควรปรึกษาผู้รู้สายตรงจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นอาจจะถูกหลอกลวงได้โดยง่าย
กลวิธีการดูพระเหรียญปั๊มโลหะยอดนิยม
พระเครื่องที่นิยมมากที่สุดในปัจจุบันเห็นจะได้แก่พระเหรียญ และพระเหรียญปั๊มโลหะทุกชนิดย่อมสร้างมาจากแม่พิมพ์ ลองสังเกตสิวันเวลาที่เราเอาพระเครื่องของเราไปให้เซียนพระดูว่าแท้หรือเก๊นั้นในตอนแรกเขจะดูด้วยตาเปล่าเสียก่อน หากดูดีแล้วเขาจึงจะหยิบกล้องมาส่องดู แต่หากดูแล้วไม่โดนใจเซียนพระก็จะส่งคืนให้พร้อมทั้งพูดว่า “ขอโทษนะน้อง ผิดพิมพ์ครับ”
เหรียญเสมากะไหล่ทอง หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่
เราคงเคยได้ยินว่า “พระผิดพิมพ์” กันบ่อยๆซึ่งก็จะมีความหมายเดียวกันกับพระเลียนแบบ หรือพระเก๊นั่นเอง
การสร้างพระทุกชนิดจะต้องมีแม่พิมพ์เสมอ แต่อาจจะมีหลายแม่พิมพ์ในพระชนิดเดียวกันก็ได้ เพราะฉะนั้นต้องศึกษาว่าพระชนิดนั้นๆ มีกี่แม่พิมพ์หรือกี่บล็อก
ถ้าเป็นพระรุ่นใหม่ พระที่สร้างมากจาแม่พิมพ์เดียวกันจะต้องมีรายละเอียดในองค์พระนั้นๆ เหมือนกัน 100%  เช่น ตุ่มนูน ลายเส้นต่างๆ และเนื้อเกิน เป็นต้น ฉะนั้นพระที่มีลักษณะใดๆที่แตกต่างจากพระที่มาจากแม่พิมพ์เดียวกันย่อมเป็นพระพิมพ์หรือเก๊นั่นเอง

เหรียญแจกทาน หลวงพ่อพรหม
เจ้าของร้าน : ร้าน A99
เหรียญปั๊มโลหะจะแท้หรือเก๊นั้นขึ้นอยู่ที่องค์พระเป็นหลักไม่ใช่ว่าเป็นพระของใคร หรือได้มาจากที่ไหน แต่แนวทางและพื้นฐานที่ถูกต้องในการที่จะศึกษา และสะสมพระเครื่องสำหรับมือใหม่นั้นต้องใช้เหตุและผลมากกว่าใช้หูฟังหรือใช้ความน่าเชื่อถือต่อบุคคลที่ท่านจะเช่าพระเครื่องต่อจากเขามา
ก่อนอื่นใดเราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า แม่พิมพ์ของพระเหรียญนั้นเราสามารถแบ่งออกเป็น 2 ยุค นั่นก็คือ
ยุคที่ 1 ประมาณ 2440 – 2499 (พระเก่า)
ในยุคเก่าก่อนนั้นสามารถแยกวิธีการสร้างเป็น 2 ชนิด คือ เหรียญชนิดปั๊มข้างเลื่อยและเหรียญข้างกระบอก วิธีการสร้างนั้นช่างจะนำเอาแม่พิมพ์ทั้งด้านหน้าและด้านหลังใส่เครื่องปั๊ม แล้วกระแทกเครื่องปั๊มอย่างแรงบนแผ่นโลหะที่รีดจนบางแบนแล้ว ถ้าเป็นชนิดข้างเลื่อยนั้นจะนำแผ่นโลหะที่ใหญ่กว่าขนาดของเหรียญมาปั๊มให้ได้ตามรูป แล้วจึงนำไปเลื่อยฉลุให้สวยงาม การสร้างพระเหรียญในยุคนี้โลหะที่นำมาปั๊มส่วนมากมักจะเป็นโลหะประเภททองแดงเป็นหลักเนื่องจากหาง่ายและราคาค่างวดไม่แพงเกินไปนัก
รู้กันหรือไม่ว่าแม่พิมพ์ของพระเหรียญในสมัยโบราณนั้นช่างจะนำเอารางรถไฟเก่าๆ มาทำเป็นแม่พิมพ์ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะว่าเหล็กรางรถไฟเป็นเหล็กที่มีความแข็งแรงคงทน ส่วนรูปแบบของเหรียญก็จะออกแบบเตรียมไว้ทั้งด้านหน้าและด้านหลังโดยเขียนเอาไว้บนกระดาษสา แล้วช่างจะค่อยๆเขียนแบบตามที่ปรากฏบนแผ่นกระดาษสาลงบนเหล็กรางรถไฟ แล้วจึงนำเหล็กนั้นมาเผาไหม้ให้แดงทั้งแท่ง รอจนเหล็กเริ่มเย็น แล้วช่างก็นำเอาเครื่องมือมาแกะตามรูปที่เขียนเอาไว้บนเหล็กด้วยมือ ความลึกของเหรียญก็จะไม่ได้มากสวยงามเหมือนกับการแกะด้วยเครื่องจัก และบางครั้งอาจจะแกะพลาดบ้างเป็นริ้วรอยซึ่งแต่มาจุดตำหนิตรงนี้นี่เองที่เซียนพระทั้งหลายใช้เป็นจุดพิจารณาความเก๊-แท้ของพระเหรียญ
อย่างไรก็ตามเหรียญสมัยโบราณนั้นตอนที่ช่างแกะมักจะไม่ได้แกะหูเหรียญเอาไว้เลยดังนั้นช่างจึงต้องนำมาเชื่อมติดเอาไว้ทีหลังโดยใช้ตะกั่วมาเชื่อมติดเอาไว้
จุดสังเกตที่เราสามารถดูเค้าโครงหน้าจะดูเหมือนมีชีวิตจริงๆตัวอักษรและอักขระเลขยันต์ต่างๆจะแกะเป็นเลขไทยที่มีศิลปะสวยสดงดงาม หูหรือว่าห่วงเหรียญมักจะใช้วิธีเชื่อมติดกับเหรียญด้วยตะกั่วโดยเราสามารถมองเห็นตัวเชื่อมได้ด้วยตาเปล่า
ขอบของเหรียญยุคโบราณมักจะเรียบและบางไม่มีความคมเพราะผ่านกาลเวลามานานแล้ว หากใช้มือลูบดูแล้วมีความคมโอกาสที่จะเป็นของปลอมก็มีสูง
พื้นผนังทั้งด้านหน้าและด้านหลังของเหรียญมักจะตึงเนื่องจากการสร้างเหรียญนั้นเกิดจากการกระแทกอย่างแรงของแม่พิมพ์ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ดังนั้นผิวเหรียญจึงต้องเรียบตึงและดูเป็นธรรมชาติ
แต่อย่างไรก็ตามบางเหรียญอาจเกิดขึ้นมีเม็ด “ขี้กลาก” ขึ้นอยู่บนผิวเหรียญก็เป็นได้เนื่องจากเมื่อเหรียญไม่พอกับความต้องการแล้วทางวัดก็ปั๊มใหม่โดยใช้แม่พิมพ์ตัวเดิม นั่นจึงอาจจะก่อให้เกิดร่องรอยขี้กลากขึ้นได้
ต่อมาในราว พ.ศ.2470 ก็จะเริ่มเกิดเหรียญแบบมีห่วงในตัวขึ้นแล้วโดยจุดสังเกตโดยรวมของเหรียญยุคนี้มีดังนี้
1. ถ้าเป็นเหรียญที่มีหูในตัวต้องมีเศษโลหะปลิ้นพับไปด้านหลังเนื่องจากตรงจุดนี้นี่เองที่เป็นจุดที่เกิดจากแรงกระทบอย่างแรงของการปั๊ม
2. ขอบเหรียญมักจะมีรอยเลื่อยฉลุ และเนื้อโลหะจะเก่าไม่มีความแวววาว หากสัมผัสจับต้องแล้วจะเป็นมันขึ้นมา ถ้าทิ้งไว้สักครู่ก็กลับคืนสู่สภาพเดิม และมีสีสันวรรณะของเหรียญเก่ามักจะมีสีที่ซีดจาง
ต่อมาประมาณปี พ.ศ. 2484 ก็เริ่มมีการแกะให้มีหูในตัวอยู่ในแม่พิมพ์เลย
เหรียญลักษณะนี้มักจะมีเนื้อปลิ้นมาทางด้านหลังบริเวณหูเหรียญ เหรียญที่แกะมีหูเหรียญอย่างนี้ต้องนำมาเข้าเครื่องตัด หรือนำมาเลื่อยฉลุอีกทีหนึ่งเพราะเมื่อปั๊มออกมาแล้วจะมีเนื้อเกินติดมาด้วยเรียกว่า ปีกเหรียญ
ในปัจจุบันนี้มีการทำเหรียญปลอมเลียนแบบของเก่าซึ่งส่วนมากใช้วิธีถอดพิมพ์ออกมา ดังนั้นขนาดของเหรียญจึงเล็กกว่าของแท้เล็กน้อย การถอดพิมพ์เหรียญนั้นคนปลอมเหรียญจะใช้ซิลิโคนมาถอดเพราะซิลิโคนเป็นของเหลวจะซึมไปได้ทั่วเหรียญ เมื่อซิลิโคนแข็งตัวแล้วก็ถอดออกแล้วก็เอาปูนแทนไฟมากรอกใส่ไปในยางแม่พิมพ์ที่ได้ เมื่อปูนแข็งตัวและแกะเอาซิลิโคนออกแล้วจึงหลอมเอาโลหะที่จะทำพิมพ์พระนั้นให้ละลายเทใส่ในปูนแทนไฟ ทิ้งไว้จนเย็นจึงทุบเอาปูนออกก็จะได้แม่พิมพ์เหรียญที่ถอดพิมพ์มา
เหรียญชินราชอินโดจีน วัดสุทัศน์
เจ้าของพระ : ร้านพระพลอยกาญจน์
ยุคที่ 2 ประมาณ พ.ศ. 2500 –ปัจจุบัน (พระใหม่)
สำหรับการทำแม่พิมพ์เหรียญยุค พ.ศ. 2500 – ปัจจุบันนั้นมักจะเอาภาพหลวงพ่อต่างๆ ที่จะมาทำเหรียญนั้นมาออกแบบบนกระดาษก่อนแล้วจึงเอาไปถ่ายฟิล์ม แล้วนำไปประกบกับโลหะเนื้ออ่อนแล้วค่อยๆแกะพิมพ์ออกมา จึงนำเหล็กไปชุบกับน้ำยาทำให้เหล็กแข็งตัวก่อนแล้วก็นำโลหะนั้นไปใส่ที่เครื่องเพื่อปั๊มซึ่งเหรียญปั๊มที่นิยมผลิตในปัจจุบันนี้มีอยู่ด้วยกัน 3 แบบคือ
1. เหรียญปั๊มข้างเลื่อย เหรียญปั๊มลักษณะนี้ช่างจะนำเอาแผ่นโลหะที่มีขนาดใหญ่กว่าขนาดของเหรียญมาปั๊มให้ได้รูปทรงเสียก่อนแล้วจึงนำเหรียญที่ได้มาเลื่อยฉลุให้ได้รูปสวยงามตามแบบของเหรียญนั้นๆ
2. เหรียญปั๊มข้างกระบอก เหรียญปั๊มลักษณะนี้ช่างจะนำแผ่นโลหะมาเลื่อยให้ได้รูปทรงของเหรียญที่จะปั๊มก่อนเพื่อเข้ากระบอก ด้านข้างของเหรียญชนิดนี้จะมีความเรียบเนียนเนื่องจากกดปั๊มโดยมีกระบอกเป็นตัวบังคับ แต่บางเหรียญก็จะมีการตกแต่งโดยตะไบให้สวยงามที่ของเหรียญบ้าง
3. เหรียญปั๊มตัด เหรียญปั๊มลักษณะนี้ช่างจะนำเอาแผ่นโลหะมาใส่เครื่องจักรอันทันสมัย ดังนั้นเวลาที่ปั๊มเหรียญออกมาจึงสวยคมชัดมาก จุดสังเกตของเหรียญปั๊มตัดยุคใหม่ คือ ผิวเรียบตึง ไม่เป็นหลุมเป็นบ่อ และไม่มีขี้กลาก ของเหรียญเนียนเรียบ
เหรียญหลวงพ่อโสธร 2460
เจ้าของร้าน : ร้านมาณพ 2 (นพ.มาณพ โกวิทยา)
หากจะทำการเลียนแบบเหรียญเก่าแก่แท้ๆ ด้วยการทำพิมพ์ขึ้นมาใหม่นั้นไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่เหมือน เพราะว่าถ้าจะแกะบล็อกใหม่เส้นสายรายละเอียดเดิมๆ ก็เปลี่ยนแปลง ดังนั้นเราลองมาศึกษากันดีกว่าว่าเหรียญเก่าแท้นั้นเขาต้องดูอะไรกัน
1. เมื่อพบพระเหรียญให้นักสะสมมือใหม่ดูด้วยตาเปล่าเสียก่อนว่าเหรียญบวมหรือไม่ ยังไม่ต้องส่องก็ได้ ถ้าบวมนูนตรงนั้นตรงนี้หรือบิดเบี้ยวผิดธรรมชาติ แน่นอน...เก๊!
2. อายุของโลหะต้องมีความเก่าแก่เข้มขลังตามอายุการสร้างของเหรียญ เช่น เหรียญทองแดงที่สร้าง พ.ศ. 2460 แต่ทองแดงไม่เก่านั่นก็คือ “เก๊” นั่นเอง
3. หากพบเหรียญที่มีการลงกะไหล่ทอง เงิน นาก หรือรมดำ กะไหล่จะต้องเก่าตามอายุของเหรียญนั้นๆ
4. หากพบเหรียญเก่าที่มีสภาพสึก เหรียญนั้นก็ควรสึกตรงเฉพาะส่วนที่นูนของเหรียญเท่านั้น ส่วนลึกสุดของเหรียญจะต้องติดคมชัด
5. เมื่อพบพระเหรียญให้นักสะสมมือใหม่ดูรอยตัดปั๊มของขอบเหรียญ และจดนำตำหนิขอบเหรียญแท้ ๆ เอาไว้เพื่อเปรียบเทียบเหรียญปลอม
เหรียญห่วงเชื่อมหลวงปู่ทิม วัดระหารไร่ ระยอง
เจ้าของพระ :  ร้านขวัญนคร
6. เมื่อพบพระเหรียญให้นักสะสมมือใหม่ดูเหรียญห่วงเชื่อมต้องดูรอยเชื่อมที่ต้องมีความเก่าแต่สมอายุ
7. เมื่อพบพระเหรียญที่อยู่ในกรอบนักสะสมมือใหม่ต้องเกะออกมาส่องดูก่อน อย่าไว้ใจว่ากำลังเช่ากับใคร จงจำเอาไว้ไม่ควรเช่าเหรียญที่เลี่ยมพลาสติกไว้เพราะมันจะทำให้เราส่องดูลำบากอาจจะหลอกตาของเราได้
8. เมื่อนักสะสมมือใหม่ส่องดูแล้วพบว่าพิมพ์พระถูกต้อง นั่นก็มั่นใจได้ว่าแท้แล้วประมาณ 50% ดังนั้นนักสะสมมือใหม่ต้องจำพิมพ์พระแท้ๆให้ได้อย่างแม่นยำ ถ้าเมื่อไรก็ตามเจอพระผิดพิมพ์ก็แน่นอนล่ะเก๊ 100% เลย
9. เมื่อนักสะสมมือใหม่ส่องดูแล้วพบว่าเนื้อพระถูกต้องนั่นก็มั่นใจได้ว่าแท้แล้วประมาณ 25% อย่างไรก็ตามนักสะสมมือใหม่จำเป็นต้องศึกษาจากองค์จริงที่แท้ๆเท่านั้น เรื่องของเนื้อพระนี่จะดูจากรูปไม่ได้
10. เมื่อนักสะสมมือใหม่ส่องดูแล้วพบว่ามีความเก่าแก่สมกับอายุพระเครื่องแล้วล่ะก็...มั่นใจได้เลยว่าแท้แล้ว 10% เราต้องทำความเข้าใจให้ดีนะว่าพระเครื่องที่มีอายุต้องมีความเก่าแก่สมอายุด้วยถึงแม้จะเป็นที่เก็บรักษาดี แต่ก็ต้องใหม่แบบเก่าๆ
11. เมื่อนักสะสมมือใหม่ดูว่าเหรียญไม่บวมแล้วก็ให้ดูตำหนิตามที่เราได้เรียนรู้กันมา หากมีตำหนิตรงตามของแท้มาตรฐานนั่นก็คือแท้แน่นอน
หลักการพิจารณาเซียนพระที่น่าเข้าไปคบหา
สิ่งที่นักสะสมควรรู้เอาไว้เนื่องจากเราจำเป็นที่จะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องเป็นอย่างมากในอนาคต นั่นก็คือ “เซียนพระ” คือก่อนอื่นใดเราต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่าในทุกๆวงการนั้นมันมีทั้งคนดีและคนเลวผสมปนเปกันไป ดังนั้นเซียนพระที่ดีก็มี เซียนพระที่ไม่ดีก็เยอะ ดังนั้นเราจึงสมควรมาเรียนรู้เกี่ยวกับการมองเซียนพระที่เราจะเอาตัวเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยอย่างไรดีจะเป็นการดีที่สุด
เหรียญหลวงพ่อติ่ง วัดบางวัว รุ่น 1 ปี พ.ศ.2481
เจ้าของพระ : ร้านมาณพ 2 (นพ.มาณพ โกวิทยา)
เงินทองหมดไป หาใหม่ได้ไม่ยาก แต่ความน่าเชื่อถือนี่สิ ถ้าเสียไปแล้วยากเหลือกำลังที่จะกู้คืนกลับมา
ดังนั้นในหัวข้อนี้จะแนะนำวิธีการดูเซียนพระที่เราควรให้ความเชื่อถือไว้เป็นที่ปรึกษาในการเช่าบูชาพระเครื่องกัน
หากพบเซียนพระคนใดที่เล่นพระเครื่องคนเดียว ไม่มีกลุ่มไม่มีพวก ไม่มีหมู่ ไม่มีใครรู้จักอันนี้โปรดให้ระมัดระวังไว้เพราะเซียนคนนั้นอาจจะเก่งจริง แต่อาจจะเล่นพระแบบหลงทาง คือเล่นพระในแนวที่ตลาดไม่ยอมรับ ตัวเองยอมรับคนเดียว
เบี้ยแก้หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว
เจ้าของพระ : ร้านมาณพ 2 (นพ.มาณพ โกวิทยา)
หากพบเซียนพระคนใดที่ไม่เคยหาข้อมูลเพิ่มเติมให้ระมัดระวังเป็นพิเศษเพราะเป็นเซียนที่มาจากประสบการณ์โดยตรงของตัวเองเท่านั้น ไม่สนใจโลกภายนอกว่าเดี๋ยวนี้เขาปลอมพระเครื่องกันได้เหมือนขนาดไหนแล้ว อาจจะดูของเก๊ฝีมือดีเป็นของแท้ หรือดูเหรียญเก่าแท้ แต่เก็บดีมากจนเหมือนใหม่ซึ่งเซียนพวกนี้อาจจะดูเป็นพระเก๊ได้
หากพบเซียนพระคนใดที่ติดอบายมุข เช่น ติดการพนัน ติดผู้หญิง ติดสิ่งเสพติด เซียนพวกนี้อาจจะมีรายจ่ายมากผิดปกติ อันนี้พึงระวงไม่ว่าจะเก่งกาจแค่ไหนสักวันหากเงินขาดมือเขาอาจจะหักหลังเราได้โดยง่าย
หากพบเซียนพระคนใดที่บอกว่าตนเองนั้นมีความชำนาญในพระเครื่องทุกชนิด ให้ระมัดระวังไว้อย่างมากเพราะไม่มีเซียนพระคนใดชำนาญพระเครื่องทุกชนิดได้หรอก แม้เซียนพระที่ชำนาญพระเครื่องประเภทต่างๆ เช่น พระกรุ พระเกจิ รูปหล่อเนื้อผง เหรียญปั๊ม นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่เขาพูดจะถูกต้อง 100%
เหรียญหลวงปู่ขาว วัดหลักสี่ รุ่น 1 พ.ศ. 2469 (เนื้อเงิน)
เจ้าของพระ : ร้านมาณพ 2 (นพ.มาณพ โกวิทยา)
หากพบเซียนพระคนใดที่ชอบเอาความดีเข้าตัว เอาความชั่วใส่คนอื่น เซียนพระที่มีจิตใจคับแคบเพราะกลัวลูกค้าของคนจะไปเช่าพระคนอื่น  ดังนั้นก็จะพาลกล่าวพระคนอื่นว่าเก๊ว่าไม่ดี ทั้งๆที่พระนั้นเป็นของแท้ เซียนอย่างนี้คบไม่ได้พึงระวังตัว
เซียนพระในวงการมีมากมายหลายระดับนั้น เซียนพระแต่ละคนมีความชำนาญในพระเครื่องแตกต่างกันออกไป แต่เซียนพระต่อไปนี้เราควรหลีกเลี่ยงให้ไกลๆ
ดังนั้นจึงรวบรวมลักษณะของเซียนพระที่ควรหลีกเลี่ยงอย่าเข้าไปข้องแวะด้วยหากไม่อยากเสียใจในภายหน้า
1. เซียนที่ชอบพูดโอ้อวดว่าตนเองนั้นดูพระได้ขาดทุกชนิดสมเด็จฯ ก็ดูได้ พระกริ่งก็ดูเป็น คุยโวเล่นพระมานานหลายสิบปีแล้ว แต่แท้จริงแล้วยังเล่นพระย่อยๆอยู่เลย ไม่มีพระยอดนิยมสักองค์ในแผง
2. เซียนพระที่ให้ข้อมูลพระองค์นั้นๆ แต่ไม่เหมือนกันในแต่ละครั้งที่พูด เพราะนั่นแสดงว่าข้อมูลไม่ดีจริง รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง เติมบ้างแต่งเองบ้าง หรือเรียกง่ายๆว่า “มั่ว”
3. เซียนพระที่ดูออก และบอกไว้ว่าพระองค์นี้แท้หรือเก๊ แต่ไม่สามารถบอกข้อมูลได้ว่าแท้หรือเก๊อย่างไร
4. เซียนพระที่พูดโกหกบ่อยๆ หรือพูดไม่ตรงบ่อยๆ เพื่อผลประโยชน์ตนเอง เซียนพระพวกนี้งานบุญที่ไหนจะเลี่ยงอาราธนาศีลในข้อ 4 (มุสา) คือโกหกเสียจนเป็นนิสัยขอให้ขายพระได้เป็นพอ
5. เซียนพระที่ขายพระแล้วรับประกันว่าแท้ 100% หากไม่แท้ยินดีคืนเงิน แต่เวลาคืนพระที่เก๊ก็มักจาถามว่า “ให้ใครดูว่าเก๊” แล้วก็หลบเลี่ยงไม่ยอมคืนเงิน  หรือเปลี่ยนพระอื่นให้แทนการคืนเงิน
6. เซียนพระรุ่นเก๋าที่ชอบยืมเงินลูกค้าบ่อยๆ โดยอ้างว่าจะนำเงินไปเช่าพระมาขายให้ แล้วกลับไม่ทำอย่างที่พูด พูดจาโยกโย้ไปโยกโย้มา พระก็ยังไม่ได้ แต่ก็ยังไม่คืนเงินให้
7. เซียนพระที่พูดจาใหญ่โต มาดเยอะดูดี ชอบทำสีหน้าเคร่งเครียดขรึมวางตัวว่าทรงภูมิรู้ แต่เมื่อเราดูๆ และสังเกตดูแล้วกลับห้อยพระเก๊
8. เซียนพระที่เขี้ยวลากดิน เวลาที่เรานำพระแท้ๆ แน่นอนไปขายแล้วเซียนพวกนี้จะวิพากษ์วิจารณ์จนเสียหาย และตีสีหน้าเคร่งเครียดพร้อมทั้งส่ายหน้าไป-มาเวลาส่อง พร้อมกับถามเราว่า “ตีราคาเอาไว้เท่าไหร่” พอเราบอกไปจะได้ยินคำพูดต่อว่า “ลดได้อีกไหมเนี่ยเพราะ...” พร้อมคำวิจารณ์แบบเรียกว่าเราได้ยินแล้วอยากจะขว้างพระตัวเองทิ้งตอนนั้นเสียให้รู้แล้วรู้รอดไปซะเลย ทั้งๆที่พระเราแท้แน่นอน บอกราคาไปก็ไม่มาก แต่กลับวิจารณ์แบบว่าจะกดราคาลงไปให้ต่ำเตี้ยเรี่ยพื้นจนถึงที่สุด
การทำความสะอาดพระเครื่องอย่างถูกวิธี
เหรียญกรมหลวงชุมพร พ.ศ.2466 เนื้อเงินกะไหล่ทอง
เจ้าของพระ : ร้านมาณพ 2 (นพ.มาณพ โกวิทยา)
นอกจากการรู้จักดูพระเครื่องให้เป็นแล้ว สิ่งที่จำเป็นอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือ การทำความสะอาดพระเครื่องให้ถูกวิธีโดยนักสะสมมือใหม่ควรกระทำการดูแลรักษาทำความสะอาด ดังนี้...
นักสะสมมือใหม่ไม่ควรขัดพระเครื่องด้วยน้ำยาขัดโลหะเนื่องจากน้ำยาสำหรับขัดโลหะนั้นจะกัดเนื้อบาลหะจนเนื้อโลหะสึกร่อยหรอ จนเกิดความเสียหายได้
ในกรณีที่พระเครื่องของเราเป็นพระเนื้อโลหะ อาทิเช่นเหรียญ หรือรูปหล่อ เราสามารถทำความสะอาดด้วยการแช่ด้วยน้ำผงชูรสราว 30 นาที หรือนานนกว่านั้นก็ได้แล้วแต่ปริมาณคราบสกปรกเมื่อแช่เสร็จก็ล้างน้ำสะอาด แล้วเช็ดออกด้วยสำลี แต่การทำความสะอาดด้วยวิธีนี้อาจทำให้พระเปลี่ยนสีได้ แต่หากทิ้งไว้นานๆ ผิวก็จะกลับเหมือนเดิม อย่างไรก็ตามถ้าอยากทำความสะอาดจริงๆ เราสามารถล้างด้วยแชมพูอ่อนๆ ผสมน้ำอุ่นก็ได้
ขั้นแรกให้ใช้แอลกอฮอล์ชโลมเพื่อฆ่าเชื้อโรคเสียก่อน แล้วจึงสรงด้วยน้ำอุ่นโดยใช้สำลีชุบน้ำอุ่นไล้ตามซอกต่างๆให้ทั่วแล้วนำไปผึ่งลม เมื่อแห้งสนิทแล้วสีพระอาจจะซีดไปบ้างบไม่ต้องตกใจเพราะทิ้งไว้ เนื้อพระจะกลับมาเหมือนเดิม
บางครั้งพระเครื่องที่เก็บเอาไว้นานๆ อาจมีเชื้อราจับเป็นฝ้าบางๆ ตามซอกต่างๆให้ใช้ขนมปัง (เฉพาะส่วนที่นุ่มๆ) ถูเบาๆบนเนื้อพระ ราและแผงฝุ่นจะหลุดออกมาหมดพร้อมขนมปัง
ในกรณีที่เนื้อพระเปื้อนสี ถ้าเป็นสีน้ำมันให้ล้างออกด้วยทินเนอร์ ถ้าเป็นสีชนิดอื่นให้ใช้น้ำยาคลอรีนล้างสีออกแล้วล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งหนึ่งเสร็จแล้วผึ่งให้แห้ง
เมื่อพระมีความชื้นมากๆ ให้ใช้ข้าวสารกลบไว้ในภาชนะขนาดย่อมๆ สัก 3 คืน เมื่อเอาออกมาใช้แปรงขนอ่อนปัดข้าวสารออก
หลวงพ่อเดิม พิมพ์นิยม A พ.ศ. 2482 เนื้องทองเหลือง
เจ้าของพระ : ร้านมาณพ 2 (นพ.มาณพ โกวิทยา)
ในกรณีที่พระมีสนิมเกิดขึ้นจนจับที่เนื้อพระให้ใช้เปลือกหมากตัดเป็นชิ้นเล็กๆจุ่มน้ำยาล้างสนิม ถูค่อยๆ สนิมก็จะค่อยๆหลุดออก แต่อย่าถูแรงเพราะจะทำให้ผิวพระเสียได้
การกำจัดฝุ่นละอองให้ใช้คัดตอนบัด (contton bud)   ลูบเบาๆให้ซอกลึกฝุ่นละอองจะหมดไป วิธีนี้เหมาะสำหรับพระที่จะเก็บเข้ากล่องเป็นเวลานานๆ
อย่างไรก็ตามสำหรับมือใหม่นั้นการขัดพระล้างพระก็ควรทำด้วยความระมัดระวัง อย่าไปซี้ซั้วล้างถ้าไม่จำเป็นหรือไม่มั่นใจเพราะการล้างพระไม่ถูกวิธีนั้นจะทำให้พระเสื่อมมูลค่าลงทันทีจากแท้กลายเป็น “ดูยาก” จนถึง “เก๊” ไปเลยทีเดียว
“เหรียญเกจิ” พระเครื่องยอดนิยมในปัจจุบัน
ในปัจจุบันเหรียญพระเกจิได้รับความนิยมมากขึ้นเป็นอย่างมากเนื่องจากนักสะสมหน้าใหม่พากันให้ความสนอกสนใจกันเป็นพิเศษ ด้วยความคงทนถาวรของเนื้อหาวัตถุธาตุ ความสวยงามของการออกแบบ พุทธคุณที่มากล้นเหลือ และการดูแลรักษาที่ง่ายดายกว่าพระเครื่องประเภทอื่นๆ ด้วยเหตุที่กล่าวมาข้างต้นนี่เองที่ทำให้พระเหรียญเกจินั้นนับวันมีแต่ราคาขึ้นกับขึ้นเท่านั้นไม่ค่อยมีลดราคา ดังนั้นจึงได้รวบรวมเหรียญพระเกจิเอาไว้ให้บรรดานักสะสมหน้าใหม่ได้พิจารณาดูเอาไว้เป็นแนวทาง ดังนี้...
เหรียญหลวงปู่เดี่ยว วัดนหนัง
เจ้าของพระ : ร้านอินทะวงศ์พระเครื่อง
“พระภาวนาโกศล” หรือ “หลวงปู่เอี่ยม สุวัณณสโร” วัดหนัง ราชวรวิหารกรุงเทพมหานครลูกศิษ์ลูกหามักนิยมเรียกท่านว่า “เจ้าคุณเฒ่า วัดหนัง” เหรียญหลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง นั้นได้ชื่อว่าเป็นราชาแห่งวัตถุมงคลประเภทเหรียญ ค่านิยมมากมายมหาศาล ทั้งด้านความสวยงามของเนื้อหา พิมพ์ทรง และพระพุทธคุณดังนั้นจึงทำให้สนนราคาสูงมาก..ว่ากันด้วยหลักล้าน
เหรียญหลวงพ่อพร วัดดอนเมือง
เจ้าของพระ : ร้านพุทธสโร”
“หลวงพ่อพร พุทธสโร” วัดดอนเมือง กรุงเทพมหานคร ปัจจุบันเหรียญของท่านได้รับความนิยมในวงการพระเครื่องสูงมาก ช่วงแรกๆ เซียนรุ่นเก๋ามักนิยมพระพิมพ์สมเด็จซึ่งมีทั้งประเภทพิมพ์ 3,5,7 ชั้น และพิมพ์เล็บมือ ลักษณะเนื้อหาเป็นระเครื่องเนื้อผงแก่น้ำมัน ออกสีเขียวอมเหลือง เมื่อสร้างเสร็จได้นำมาเข้าบรรจุไว้ใต้ฐานพระประธานในพระอุโบสถ แต่สำหรับวัตถุประสงค์วัตถุมงคลเหรียญปั๊มรูปเหมือนรุ่นแรกที่สร้างเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2460-2465 นั้นเป็นเหรียญที่โด่งดังเป็นพิเศษ มีประสบการณ์ที่ดี เด่น ดังทั้งด้านแคล้วคลาด โชคลาภ และเมตตามหานิยม
เหรียญหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังผู้เก่งกล้าในด้านพุทธาคมสมัยสงครามอินโดจีน ท่านได้สร้างวัตถุมงคลไว้มากมายหลายอย่างโดยได้สร้างแจกทหาร – ตำรวจ ในสงครามดินโดจีนช่วงปี พ.ศ. 2483-4485 เป็นต้นมา สำหรับเหรียญหลวงพ่อจงรุ่นแรก สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2484 เหรียญรุ่นนี้ปัจจุบันสนนราคาเล่นหาสูงมาก

เหรียญหลวงปู่หมุน วัดบ้านจาน
เจ้าของพระ : เทพอัคคี
“หลวงปู่หมุน ฐิตสีโล” วัดบ้านจาน ศรีสะเกษ ปัจจุบันพระเครื่องและเครื่องรางของขลังของท่านได้รับความนิยมอย่างมากทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เหรียญที่นิยมกันในหมู่เซียนพระทั้งหลายก็คือ “เหรียญไตรมาส” หรือเรียกกันติดปากว่า “เหรียญเลข 1”ซึ่งเป็นเหรียญรุ่นแรกของท่าน
เหรียญหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ
เจ้าของพระ : NUT
“หลวงพ่อกลั่น ธัมมโชติ” อดีตพระเกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งวัดพระญาติการาม อยุธยา ท่านเป็นชาวเมืองกรุงเก่าอยุธยาโดยกำเนิด ในสมัยปัจจุบันเหรียญรุ่นแรกหลวงพ่อกลั่นซึ่งสร้างในปี พ.ศ. 2469 นั้นราคาค่างวดสูงมาก...สนนราคาเล่นหาว่ากันที่หลักล้าน
เหรียญหลวงพ่อแช่ม วัดฉลอง
เจ้าของพระ : ร้านพระเครื่องสองพี่น้องออนไลน์
“พระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญาณมุนี” หรือ “หลวงพ่อแช่ม” วัดไชยธาราราม (ฉลอง) ภูเก็ต นั่นเริ่มมีชื่อเสียงในคราวปราบอั้งยี่ด้วยการทำผ้าประเจียดแจกชาวบ้านเพื่อโพกศีรษะให้เป็นขวัญและกำลังใจในการต่อสู้จนได้รับชัยชนะในที่สุด สำหรับเหรียญของหลวงพ่อแช่มนั้นมีพุทธคุณเด่นในด้านเมตตามหานิยม แคล้วคลาดนิรันตราย เหรียญที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือ เหรียญที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือเหรียญพิมพ์สี่เหลี่ยมที่ท่านสร้างขึ้นในปีพ.ศ. 2473 ซึ่งในปัจจุบันสนนราคาเล่นหาสูงมาก
เหรียญหลวงปู่ฟั่น อาจาโร รุ่นแรก
เจ้าของพระ :   Thaipra
“หลวงปู่ฟั่น อาจารโร” วัดป่าอุดมสมพร สกลนคร วัตถุมงคลประเภทเหรียญของท่านปัจจุบันมีอยู่มากมายซึ่งล้วนเป็นที่นิยม และเป็นที่แสวงหาของบรรดาเซียนน้อย-ใหญ่ สนนราคาเช่าหาก็ค่อนข้างสูงเอาการ อีกทั้งหาดูหาเช่ายากพอสมควรทีเดียว

เหรียญสร้างบารมี หลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่ นครราชสีมา
เจ้าของพระ : กวง ตรอกไผ่
ชั่วโมงนี้คงหาได้ยากยิ่งที่จะมีคนที่ไม่รู้จักหลวงพ่อคูญเหรียญที่บรรดาเซียนต่างแสวงหากันนั่นคือ “เหรียญสร้างบารมี พ.ศ. 2519” นั่นเอง เหรียญนี้เป็นเหรียญที่มีอนาคตไกลเนื่องจากออกแบบได้อย่างสวยงามมากนั่นเอง
เหรียญจอบหลวงพ่อไปล่ วัดกำแพง รุ่นแรก
เจ้าของพระ : ร้านบอย ท่าพระจันทร์
“หลวงพ่อไปล่ ฉันทสโร” วัดกำแพง กรุงเทพมหานคร ปัจจุบันนักสะสมหลายท่านเชื่อถือในความศักดิ์สิทธิ์ของท่านเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะ “เหรียญหล่อโบราณ” พ.ศ. 2478   ซึ่งสนนราคาเล่นหากันจนราคาติดเพดานหลักแสนปลายๆ วัตถุมงคลของท่านนั้นหากใครได้มีเอาไว้บูชาหรืออารธนาติดต่อก็จะมีแต่โชคลาภมากล้น และคงกระพันชาตรีที่หนึ่ง
เหรียญหลวงพ่อผิว วัดสง่างาม
เจ้าของพระ:   ร้านปราจีน – แปดริ้วพระเครื่อง
“พระครูสีลวิสุทธาจารย์” หรือ “หลวงพ่อผิว สีลวิสุทโธ” วัดสง่าสงาม ปราจีนบุรี ท่านได้สร้างความขลังจริง มีประสบการณ์ดีทุกด้านทั้งเมตตามหานิยม แคล้วคลาด มหาอุด และคงกระพันชาตรี
โดยเฉพาะเหรียญรูปไข่รุ่นแรกปี พ.ศ. 2502 เนื้อทองแดงกะไหล่ทอง สนนราคาหาคงต้องว่ากันที่หลักหมื่นขึ้น
เหรียญเจริญพรบน หลวงปู่ทิม วัดระหารไร่ ระยอง
เจ้าของพระ : โตโกดังสาธุ
หลวงปู่ทิมเกจิอาจารย์ที่โด่งดังมากทางฝั่งทะเลตะวันออกของไทย เหรียญของท่านมีแต่คนต้องการ เอาเป็นว่าหากเข้าสนามพระครั้งใดแล้วกำเหรียญหลวงปู่ทิมไว้ในมือ...รับรองมีกำไรแน่นอน
เหรียญหลวงพ่อเอีย รุ่น 2 (คาบดาบ) วัดบ้านด่าน ปราจีนบุรี
หลวงพ่อเอียเป็นพระที่มีศีลาจารวัตรงดงามมาก เหรียญที่ท่านสร้างก็เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาว่าดีจริงขลังจริง เรื่องแคล้วคลาดปลอดภัยนี่เป็นเยี่ยมไม่เป็นสองรองใคร เหรียญรุ่นที่ 2 เป็นเหรียญที่มีอนาคต ราคาก็ยังพอที่จะเล่นหาได้


เหรียญพญาเต่าเรือน หลวงปูหลิว วัดไร่แตงทอง
“หลวงปู่หลิว ปัณณโก” วัดไร่แตงทอง เป็นหนึ่งในพระเกจิอาจารย์ดังซี่งมีเหรียญดีที่รู้จักกันทั่วประเทศ นั่นก็คือ “เหรียญพญาเต่าเรือน” ในปัจจุบันกระแสเล่นหากันแรงมากเนื่องจากใครได้ไปติดตัวบูชาแล้วมีแต่ดีกับดีเท่านั้นสิ่งชั่วร้ายไม่เคยมาแผ้วพานได้เลย
เหรียญหลวงพ่อเงิน  2500 วัดดอนยายหอม นครปฐม
เจ้าของพระ : ร้านพุทธศรัทธา
หลวงพ่อเงินเทพเจ้าแห่งวัดดอนยายหอมท่านได้สร้างเหรียญดีจริงขลังจริง เหรียญที่น่าสะสมของหลวงพ่อเงินก็เช่น เหรียญหลวงพ่อเงิน 2500 เหรียญนี้ยังพอหาได้ ราคาไม่แรงมากจนเกินเอื้อม
เหรียญฟ้าผ่า หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ สุพรรณบุรี
หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ เกจิอาจารย์ชื่อดังอันเป็นที่เคารพรักของคนสุพรรณเป็นอย่างมาก ประมาณ 5-6 ปีมาแล้วที่วัตถุมงคลประเภทเหรียญของท่ามีราคาค่าเช่าหาสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง และแรงขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็เริ่มหาสวยๆได้ยากแล้ว
ข้อเตือนใจในการเล่นพระสำหรับมือใหม่
1. พระเครื่องที่เจ้าของพระเครื่องรีบขายอ้างว่าร้อนเงินเลยขายเพราะเสียพนัน แม่ไม่สบาย ลูกจะเข้าโรงเรียน พวกนี้มักจะเป็นการอ้างมากกว่าเพราะคนเล่นพระมักเล่นเป็นกลุ่ม เมื่อมีปัญหามักจะผ่านกลุ่มที่เขาคบกันก่อนเสมอ ไม่ตกมาถึงเราหรอก
2. จงจำเอาไว้ให้ขึ้นใจเลยนะว่าเล่นพระต้องไม่โลภเพราะความโลภเป็นต้นเหตุของหายนะทั้งปวง ไม่ใช่ว่ามีเซียนมาเสนอชายพระแบบราคาถูกเข้าหน่อยเราก็ตาโตควักกระเป๋าเสียเงินเสียแล้วเพราะคิดว่าจะได้เอาไปขายต่อเพื่อทำกำไร
3. พระเครื่องที่มีราคาถูกจนผิดปกติ อันนี้ควรระมัดระวังให้มากที่สุดเพราะอาจเป็นพระที่มีปัญหา เช่น พระดูยาก  พระเก๊ พระซ่อม พระชำรุด หรือพระที่ถูกขโมยมาสำหรับตรงนี้น่ากลัวมาก เพราะอาจจะเข้าข่ายรับซื้อของโจรโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
4. พระเครื่องที่มีคนเอาพระมาขายกระซิบว่า “อย่าบอกใครนะเป็นพระผู้ใหญ่ร้อนเงินในให้เอามาขายให้เนี่ย ถ้าคนอื่นเขารู้ผู้ใหญ่จะเสียชื่อ” แต่แท้ที่จริงแล้ววัตถุประสงค์ส่วนใหญ่จะแอบแฝงด้วยการเป็นพระที่มีปัญหาแล้วรู้ว่าเรามีเงินและชอบพระแบบนี้ต่างหากล่ะ
5. พระเครื่องที่เซียนพระขายผิดราคาเพราะอาจเป็นพระเครื่องที่มีปัญหา อย่างไรก็ตามระดับเซียนเรื่องขายผิดราคาเป็นเรื่องยาก
6. นักสะสมพระที่ดีจะต้องดูเป็นและรู้ราคาว่าของนั้นดีหรือไม่ มีราคาค่างวดเท่าไหร่ เมื่อเห็นพระต้องบอกได้ว่าพระนั้นอยู่ในระดับใด จะซื้อจะขายก็ไม่ผิดราคา ไม่เป็นเหยื่อของนักหลอกลวงได้ง่ายๆ และที่สำคัญเราก็ต้องไม่ไปหลอกลวงใครเช่นเดียวกัน
7. นักสะสมนิยมพระเครื่องหน้าใหม่จงเล่นพระด้วยความมีสติ รอบครอบรู้ถึงสภาพของพระอย่างฟังคนขายที่ปั้นน้ำเป็นตัวหลอกหลวงยัดเยียดพระเครื่องให้ ก็เขาจะขาย เขาก็ต้องว่าของเขาดี ต้องระวังนักเล่านิทานเพื่อขายพระบางรายพูดเก่งชอบตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จทางที่ดีควรใช้วิจารญาณของตนเอง
8. เล่นพระต้องเป็นคนใจเย็น เมื่อเห็นพระที่ถูกใจก็ต้องไม่ออกอาการอยากได้ของๆเขาจนเกินเหตุ การรีบร้อนจนเกินไปอาจเกิดการผิดพลาดได้ง่าย การเป็นผู้รู้อะไรควรไม่ควรนั้นนักเล่นพระจะต้องมีอยู่ในใจเสมอ ค่อยๆดู ค่อยๆ ส่อง แล้วก็พิจารณาด้วยสติอย่าวู่วาม
9. นักสะสมนิยมพระเครื่องหน้าใหม่ต้องไม่วางมด ไม่ถือตัว ไม่มีใครรู้จักพระหมดทุกอย่าง ฉะนั้นเมื่อไม่รู้ควรจะบอกว่าไม่รู้ และขอคำปรึกษาหาความรู้จากผู้รู้จริงที่วางใจได้
10. นักสะสมนิยมพระเครื่องหน้าใหม่ควรรู้ว่าพระที่มีนั้นมีราคาค่างวดเท่าไร ของที่ดีของที่สวยเมื่อจะขายต่อต้องขาเท่าไหร่ อย่าขายถูกเพื่อขายให้ได้ไวๆ จงสืบให้รู้ราคาเท่าไรกันแน่
11. เล่นพระด้วยความซื่อสัตย์ นักเล่นพระหน้าใหม่ควรมีคุณธรรมประจำใจ ไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น แท้ควรบอกว่าแท้ การเอาของเทียมไปหลอกว่าแท้นั้นสักวันเขาก็ต้องรู้ แล้วเขาก็จะบอกต่อไม่กี่วันเราก็ต้องเสียชื่อเสียงควรถือคติ “ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน”
12. ถ้าผิดพลาดก็อย่าท้อแท้ นักเล่นพระหน้าใหม่ทุกๆ คนมีโอกาสผิดพลาดอยู่เสมอ อย่าว่าแต่หน้าใหม่เลย เซียนพระรุ่นใหญ่ยังเคยโดนหลอกมาแล้ว แต่อย่างไรก็ตามแม้ผิดพลาดก็ต้องเก็บอาการให้เป็น ไม่เอะอะโวยวาย ควรหาทางเจรจาคืนพระให้ได้ ข้อสำคัญอย่าใช้นิสัยนักเลงพาลท้าตีท้าต่อย...อาบคนอื่นเขาเปล่าๆ
13. ถ้าส่องแล้วยังมีข้อสงสัยก็จงหยุดก่อน อย่าเพิ่งรีบเช่า จะเช่าพระเครื่องแต่ละครั้งต้องมั่นใจว่าได้ของแท้ และจะต้องศึกษาดูของเก๊ออกมาใหม่อยู่เสมอ
14. ถ้าพระแท้และสวยจริงก็ไม่ต้องกลัวแพงในชีวิตการเล่นพระไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีโอกาสที่จะพบของแท้และสวยเพราะว่าของสวยๆเยี่ยมๆนั้นมีแน่ แต่ราคาก็จะสูงด้วย แม้ว่าราคาจะสูงแต่การต่อรองราคามันก็อยู่ที่เราเอง ถ้าต่อไปต่อมาแล้วราคาที่แพงนั้นเรารับได้...ก็เช่าไปเถอะ
15. ในวงการพระเครื่องนั้นการคิดการณ์ไกลนั้นดีกว่ามองอนาคตระยะใกล้ๆ ดังนั้นจึงควรมีการผ่อนสั่นผ่อนยาวให้กันบ้างไม่ใช่คิดจะเอาเปรียบกันท่าเดียว ไม่ใช่เห็นนักสะสมที่ใหม่กว่าเรา และเขาไม่มีความรู้ แล้วเราก็คิดแต่จะเอาเงินเขา...อันนี้ต้องคิดเรื่องอนาคตภายหน้าด้วย เป็นมิตรกันไว้ดีกว่าสร้างศัตรู เหมือนดังคำสอนของชาวจีนที่ว่า

“มีมิตร 100 คน ก็นับว่าน้อยเกินไป มีศัตรู 1 คนก็นับว่ามากเกินไป”