วันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2560

หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม พระอรหันต์ผู้มีฤทธิ์ในยุคปัจจุบัน


บรรดาศิษย์สายกรรมฐานส่วนใหญ่มักจะคุ้นชื่อและได้ยินกิตติศัพท์ของ หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม เป็นอย่างดี ท่านมีปฏิปทาที่แปลก น้ำใจเด็ดเดี่ยว โผงผาง ตรงไปตรงมา มีแง่มุมต่างๆที่ครูบาอาจารย์มักจะกล่าวถึงเสมอๆ และเล่าถ่ายทอดต่อกันมาครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นที่น่าสนใจของผู้เล่าและผู้ฟังเป็นอย่างยิ่ง
จัดได้ว่าหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม เป็นพระป่าที่ดังมากองค์หนึ่งในบรรดาศิษย์รุ่นแรกๆ ของ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโ

หลวงปู่ตื้อ เป็นศิษย์องค์หนึ่งที่ออกธุดงค์ติดตามหลวงปู่มั่นไปหลายปี ในแถบป่าเขาทั้งทางภาคอีสานและภาคเหนือ
ท่านเป็นศิษย์องค์หนึ่งที่หลวงปู่มั่นไว้วางใจ และมักพูดกับสานุศิษย์ทั้งหลายว่า “ใครอย่าไปดูถูกท่านตื้อนะ ท่านตื้อเป็นพระเถระ”
บรรดาศิษย์รุ่นหลังรู้จักหลวงปู่ตื้อดี เพราท่านเป็นสหธรรมิกกับหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ แห่งวัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่
หลวงปู่ตื้อ กับ หลวงปู่แหวน มักจะเดินธุดงค์ไปด้วยกันส่วนใหญ่ ทั้งๆ ที่อุปนิสัยของหลวงปู่สององค์นี้ผิดกันไกล แต่ท่านก็ไปด้วยกันได้เป็นอย่างดี

หลวงปู่ตื้อ หลวงปู่แหวน และหลวงปู่ขาว อนาลโย ท่านสนิทสนมกันมากที่สุด นี่ว่ากันตามคำบอกเล่าของครูบาอาจารย์ท่านว่าไว้อย่างนั้น
จุดเด่นที่ทำให้หลวงปู่ตื้อ เป็นที่กล่าวขวัญกันมากคืออุปนิสัยขวานผ่าซากในวาจา ท่านมีนิสัยโผงผางไม่กลัวใคร มีเทศนาโวหารที่ไม่เคยไว้หน้าใคร ไม่ว่าคนมั่งมี หรือยาจก ท่านใช้คำพุดเหมือนกันหมดพูดตรงๆ ไม่ต้องเสกสรรปั้นแต่ง
ท่านบอกว่า ท่านเทศน์ตามความจริง ไม่ได้เทศน์เพื่อเอาสตางค์หรือเทศน์เพื่อเอาใจใคร
ญาติโยมบางท่านบอกว่า หลวงปู่ตื้อ เทศน์หยาบคาย รับไม่ได้ก็มี

มีเรื่องเล่าว่า ครั้งหนึ่ง หลวงปู่ กำลังแสดงธรรมเทศนาอยู่ ท่านเทศน์ผ่านเครื่องขยายเสียง มีญาติโยมบางกลุ่มคุยจ้อกแจ้กแข่งกับการเทศน์ของท่าน ในขณะที่ท่านหลับตาเทศนาอยู่ท่านได้หยุดเทศน์ฉับพลัน แล้วพูดผ่านไมโครโฟนเสียงดังว่า
“เอ้า! หลวงตาตื้อเทศน์ให้ฟัง พวกสูบ่ฟัง เอ้า! ฟังตดซะ“

แล้วก็มีเสียงประหลาดดังผ่านลำโพงมาสองสามชุด ทุกคนเงียบกริบ โยมคนหนึ่งตั้งสติได้ก่อนเพื่อน จึงพูดเสียงดังว่า “ขอให้หลวงตามีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์”
แล้วโยมคนอื่นๆ ก็ยกมือ และกล่าวพร้อมกันว่า ”สาธุ!”

ในการเทศน์อีกครั้งหนึ่ง ได้มีพระภิกษุหนุ่ม เป็นมหาเปรียญและได้รับการศึกษาที่ทันสมัย ตามมาฟังเทศน์ด้วย ในระหว่างที่หลวงปู่ตื้อขึ้นเทศน์ พระภิกษุหนุ่มเหล่านั้นซุบซิบกันพอได้ยินในกลุ่มไม่สามารถได้ยินไปถึงหลวงปู่ได้อย่างแน่นอน
บรรดาพระหนุ่มซุบซิบกันว่า หลวงปู่ตื้อ ไม่พัฒนา เทศน์โบราณมีแต่ของเก่าๆ ไม่ทันยุคทันสมัยเลย

หลวงปู่ท่านหยุดเทศน์ เดินตรงไปยังพระรูปนั้นท่ามกลางความงุนงงของบรรดาญาติโยม ท่านนิมนต์พระภิกษุหนุ่มรูปนั้นขึ้นเทศน์แล้วท่านก็พูดเสียงดังชัดเจนว่า “เอ้า! หลวงตาจะคอยฟังคุณเหลน คุณมหา ขอให้เทศน์เอาแต่ของใหม่ๆนะ”
พระมหาหนุ่มรูปนั้นก็เดินขึ้นธรรมาสน์ด้วยความมั่นใจ คงคิดที่จะเทศนาธรรมแบบใหม่ตามยุคสมัย ตามแบบพระผู้มีปริญญามหาเปรียญ
เมื่อพระมหาหนุ่มขึ้นต้นว่า “นะโม...” เท่านั้น หลวงปู่ตื้อท่านก็บอกให้หยุดเทศน์

“หยุด หยุด คุณเหลน หยุด ไม่เอา-ไม่เอา นะโมมันของเก่ามีมามากกว่าสองพันปีแล้วคุณเหลน...”
ญาติโยมทั้งศาลาหัวเราะกันฮาครืน!

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่วัดอโศการาม จังหวัดสมุทรปราการ หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ได้รับนิมนต์ขึ้นเทศน์ในการจัดอบรมกรรมฐานให้แก่พระและญาติโยม มีผู้สนใจใคร่ธรรมมาเข้าร่วมอย่างเนืองแน่น
ในวันนั้น หลวงปู่ ท่านแสดงธรรมได้อย่างจับใจได้อรรถรสในเบื้องต้น ท่ามกลาง และปริโยสาน อะไรเป็นธรรม เป็นวินัย เป็นตัวทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ตลอดจนวิธีดับทุกข์ อะไรที่ควรมั่น อะไรที่ควรปลง ควรปล่อยวาง ไม่ควรยึดมั่นว่าเป็นของกู
ว่ากันว่า หลวงปู่ตื้อ ได้แสดงธรรมให้สาธุชนที่อยู่ ณ ที่นั้นตรองตามแล้วเห็นจริงได้ เสมือนหงายสิ่งที่คว่ำ เสมือนจุดประทีปโคมไฟในที่มืด เสมือนชี้ทางให้กับผู้ที่หลงทาง...
อุบาสกอุบาสิกาที่ได้สดับเทศนาของหลวงปู่ตื้อในครั้งนั้นแล้ว ต่างก็รู้สึกปิติ อิ่มเอมในบุญ รู้สึกปลอดโปร่ง เบากายเบาใจ ต่างก็รู้สึกว่ากายในจิตได้ปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้ว

พอหลวงปู่เทศน์จบลง ท่านว่า “เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้” แล้วญาติโยม “สาธุ” เสียงดังสนั่นน่าอนุโมทนายิ่ง
สุดจะเก็บความปีติไว้ได้ มีอุบาสิกาท่านหนึ่งแหวกผู้คนเข้ามาข้างหน้าสุด ใกล้กับหลวงปู่ที่สุด แล้วรายงานผลว่า
“หลวงปู่เจ้าคะ ดิฉันได้ฟังหลวงปู่เทศน์แล้วรู้สึกเบากายเบาใจ ดิฉันปล่อยวางได้หมดเลยเจ้าคะ”

หลวงปู่กล่าวด้วยเมตตา “อนุโมทนาด้วยคุณโยมที่ได้ดวงตาเห็นธรรม”
“จริงๆ นะคะหลวงปู่...เดี๋ยวนี้ดิฉันไม่ยึดมั่นถือมั่นอีกต่อไปแล้ว ปล่อยวางได้หมดเลยเจ้าค่ะ...”
“...อีตอแหล...” ไม่มีใครคาดคิดว่าหลวงปู่จะอนุโมทนาด้วยการหักมุมเช่นนั้น
“ว้าย! ตายแล้ว ทำไมหลวงปู่จึงมาด่าอีฉัน!” แล้วรับผลุนผลันลุกหนีด้วยความโกรธอย่างเป็นฟืนเป็นไฟบ่งบอกลักษณะของคน “ปล่อยวาง” ได้อย่างประจักษ์
หลวงปู่ ได้แต่หัวเราะหึ...หึ ในลำคอ ขณะเดียวกันบนศาลา การเปรียญก็เงียบกริบ ตามด้วยเสียงซุบซิบ

หลวงปู่ตื้อ ท่านคุ้นเคยกับ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (พิมพ์ ธมฺมธโร) แห่งวัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน เวลาเข้ากรุงเทพฯ หลวงปู่จึงมาแวะพักที่วัดแห่งนี้เสมอ
ท่านสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ กล่าวถึงหลวงปู่ตื้อ ว่า “หลวงปู่ตื้อนี้ ท่านไม่กลัวใคร ไม่ว่าสมเด็จฯ หรือแม้แต่ท่านอาจารย์มั่น ท่านก็ไม่กลัว ท่านจัดเป็นพระที่ว่าดื้อเลยทีเดียว”
เรื่องที่หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโมชอบทำอะไรแปลกๆผิดไปจากสมณะรูปอื่นนี้ หลวงปู่หลุย จนฺทสาโร ได้เล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่า
“พระอรหันต์นั้น เปลี่ยนวาสนาเดิมไม่ได้ นอกจากพระพุทธเจ้าเท่านั้น จึงจะเปลี่ยนวาสนาเดิมได้ แม้แต่พระสารีบุตรท่านก็ยังเดินเหินไม่เรียบร้อย กระโดกกระเดก”(เพราะในอดีตชาติ พระสารีบุตรเคยเป็นลิงป่ามาก่อน บุคลิกลักษณะเดิม หรือที่พระท่านเรียกว่า วาสนาเดิมจึงยังติดตัวอยู่ ละได้ไม่หมด)
::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
#ที่มา
- หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม พระอรหันต์ผู้มีฤทธิ์ในยุคปัจจุบัน
- หลวงปู่ตื้อ กับ หลวงปู่จาม โดย พระครูสังฆวิสุทธิ์ (พระธมฺมธโร ครูบาแจ๋ว)
::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

อาราธนาพระเครื่องเพื่อบูชาให้ศักดิ์สิทธิ์


"อาราธนาพระเครื่องเพื่อบูชา".......
พิธีกรรมทางความเชื่อของการอาราธนาวัตถุมงคล.....

.........เคยรู้บ้างไหมว่าพระหรือวัตถุมงคลที่เราใส่ทำไมไม่ส่งผลตามที่เราคิด....
เนื่องจากว่าเราไม่เคยบอกกล่าววัตถุมงคล ครูบาอาจารย์ และ เทวดาที่คอยดูแลวัตถุมงคล อย่างเป็นทางการเลย ถ้าอยากให้พระที่คอใส่แล้วช่วยเสริมดวงหรือช่วยเหลือจำเป็นต้องตั้งขันธ์5ขันธ์8 เพื่อเป็นการบูชาครู ตามตำราโบราณง่ายๆมาดูกัน
"พิธีกรรมอาราธนาพระเครื่องเพื่อบูชา".......
พิธีกรรมทางความเชื่อของการอาราธนาวัตถุมงคล.....


เคยรู้บ้างไหมว่าพระหรือวัตถุมงคลที่เราใส่ทำไมไม่ส่งผลตามที่เราคิด....
เนื่องจากว่าเราไม่เคยบอกกล่าววัตถุมงคล ครูบาอาจารย์ และ เทวดาที่คอยดูแลวัตถุมงคล อย่างเป็นทางการเลย ถ้าอยากให้พระที่คอใส่แล้วช่วยเสริมดวงหรือช่วยเหลือจำเป็นต้องตั้งขันธ์ 5 ขันธ์ 8 เพื่อเป็นการบูชาครู ตามตำราโบราณง่ายๆมาดูกันวันนี้เรามาเริ่มต้นใหม่กัน

สิ่งที่ต้องเตรียม

1. เทียนเล็ก 26 เล่ม
2. เทียนน้ำมนต์หนัก 1 บาท 2 เล่ม
3. ดอกมะลิ 26 ดอก
4. เงิน 24 บาท
5. ถาด 1 ใบ
6. วัตถุมงคล
7. ธูป 19 ดอก

ขั้นตอน

1. ให้นำเทียนเล็กทั้ง 26 เล่มวางเรียงเป็นแพ
2. นำเทียนน้ำมนต์ 2 เล่มวางตรงกลาง
3. นำดอกมะลิวางด้านซ้าย 10 ดอก ขวา 16 ดอก
4. เงิน 24 บาท
5 วัตถุมงคลวาง

จุดธูป 19 ดอกปักที่กระถางธูป แล้วยกพานขึ้น ตั้งนะโม 3 จบ

ข้าแต่หลวงปู่............. ข้าพเจ้าชื่อ....… นามสกุล............ วันเดือนปีเกิดเวลาตกฟาก...........,,, อาศัยอยู่บ้านเลขที่.................ที่อยู่......... 
ลูกได้นำวัตถุมงคลของหลวงปู่มาบูชามาห้อยคอเพื่อ เป็นมิ่งขวัญ มิ่งมงคลในชีวิต ขอให้หลวงปู่ช่วยอุดหนุนค้ำชูดวงชะตา การงาน การเงินและส่งเสริมให้ลูกเจริญรุ่งเรือง แคล้วคลาดปลอดภัย คิดเงินได้เงิน คิดทองได้ทอง ปราศจากโรคภัย อันตรายใดๆ ปัดเป่าคุณไสย์ เสนียดจัญไร ทุขก์โศกโรคภัย จงหายมลายหายไป ด้วยนะโมพุทธายะ ยะธาพุทโมนะด้วยเทอญ

พอธูปหมดดอกเอาพระมาใส่ได้เหมือนหลวงพ่อหลวงปู่มอบให้กับมือไม่เชื่อลองทำ ดู อย่าลืมเอาเงิน24 บาทไปใส่ตู้บริจาคอะไรก็ได้ ถ้าเป็นบุญใหญ่ยิ่งดีแล้วอุทิศบุญให้หลวงปู่ด้วย......

:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
ข้อมูล : "อ.มานพ พุทธคุณพระเครื่อง" 14 มิถุนายน 2558
:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

ห้อยพระอย่างไรให้ปาฏิหาริย์เกิด


ห้อยพระอย่างไรให้ปาฏิหาริย์เกิด
:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
หนังสือปาฏิหาริย์วิชาศักดิ์สิทธิ์ ๔ ห้อยพระ
บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอพรเป็น ได้ทุกสิ่งที่ปรารถนา
โดย ธ.ธรรมรักษ์  : พฤศจิกายน 2514
:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

ทำไมคนไทยในทุกยุคถึงเชื่อว่า พระเครื่องที่ทำจากดิน หรือจากปูน จากโลหะชิ้นเล็กๆ ถึงจะมีพลานุภาพและสร้างปาฏิหาริย์ได้ เราต้องย้อนกลับไปดูที่มาของวัตถุประสงค์และวิธีของการสร้างพระนั้นให้เข้าใจ และต้องห้อยอย่างไรให้ถูกหลักเคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์ที่บูรพาจารย์ท่านกำหนดไว้ห้อยพระอย่างไรให้ปาฏิหาริย์เกิด

ขอให้เข้าใจถึงวัตถุประสงค์แรกว่า พระทุกองค์ที่สร้างขึ้นมาไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูป พระเครื่อง เพื่อให้ระลึกถึงพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อพาชีวิตไปสู่ความสุขความเจริญ เพื่อเตือนสติหากจิตตกนำไปสู่การทำชั่วทั้งปวง ในภายหลังต่อมามีการบรรจุ บทสรรเสริญพระพุทธเจ้า ขออำนาจบุญบารมี พลังพุทธคุณ โดยบูรพาจารย์

และอีกหลายเหตุผลทั้งสร้างขึ้นมาเพื่อสืบทอดพระศาสนาให้มีจำนวนมากขึ้นในคราวเดียวกัน เพื่อให้ทราบว่าในดินแดนนั้นๆ พระพุทธศาสนาได้เผยแผ่ไปถึงแล้ว บางครั้งเพื่อตอบแทนน้ำใจสำหรับคนที่มาร่วมสร้างบุญกุศล หรือสร้างด้วยการเฉพาะกิจอย่างใดอย่างหนึ่ง

การสร้างพระเครื่องให้ได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์ในแต่ละครั้งนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ที่อยู่ๆ ใครก็จะลุกขึ้นมาทำได้ เพราะตามหลักที่โบราณาจารย์ได้วางเอาไว้นั้น มีกระบวนการในการสร้างที่ละเอียดซับซ้อนหลายขั้นตอน

เช่น การเตรียมมวลสารต่างๆในการผสมสร้างพระเครื่อง การลงอักขระเลขยันต์ในแผ่นทอง การรวบรวมว่านศักดิ์สิทธิ์ 108 ชนิด การบวงสรวงไหว้พรหมเทพเทวดา ครูบาอาจารย์เพื่อขอบารมีให้มาช่วยในการสร้างพระเครื่อง การปลุกเสกพระเครื่องด้วยการทำสมาธิภาวนาท่องบ่นมนต์คาถาต่างๆ ให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ตามที่ต้องการ

ครูบาอาจารย์ท่านสอนเสมอว่า คนเราถ้าใช้ธรรมะ รักษาตน ก็จะได้ผลตาม”เหตุและปัจจัย”นั้น ๆ เต็มร้อย หรืออาจจะเกิดร้อยด้วยซ้ำ!

การทาน รักษาศีล ปฏิบัติธรรม จึงเป็นเครื่องป้องกัน ส่งเสริมสร้างโชตชะตาตนเองที่ดีที่สุด วัตถุมงคลจึงเป็นตัวช่วยที่รองลงมา เป็นปัจจัยเสริมที่ครูบาอาจารย์ท่านช่วยสงเคราะห์แก่โลกเท่านั้น สำหรับที่จะมี พลานุภาพ สร้างปาฏิหาริย์มากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ทั้งอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ในด้านต่างๆ เช่น เมตตามหานิยม ค้าขายร่ำรวย แคล้วคลาด คงกระพันชาตรี หรือการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ฯลฯ

จะเกิดได้ด้วยพลังจิตกุศล ศรัทธาอย่างแรงกล้าของผู้ห้อยหรือสวมใส่ ที่ต้องหมั่นทำบุญสวดมนต์ ไหว้พระ คิดดี ทำดี พูดดี พุทธคุณ บุญบารมีครูบาอาจารย์ และบุญของเราเองที่ทำจะปกป้องเรา

หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค จ.อยุธยา บูรพาจารย์ที่ได้เคยกล่าวสอนลูกศิษย์ในการสร้างพระเครื่องไว้ อยากให้ทุกท่านได้อ่านจะได้เข้าใจว่าพระเครื่องแต่ละองค์ที่มาจากครูบาอาจารย์ผู้ประพฤติชอบและมีความรู้จริงนั้นทำไมถึงมีพลานุภาพมาก

 “…ต้องอาราธนาบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอริยสาวกทุกองค์ ตลอดจนพระพรหม เทวดา ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย การชุมนุมบวงสรวงเช่นนี้ประเดี๋ยวก็เสร็จไม่ต้องถึงสามเดือนอย่างที่แล้วมา จงจำไว้ว่าการจะปลุกเสกพระหรือผ้ายันต์อะไรก็ตาม ถ้าจะอาศัยอำนาจของเราอย่างเดียวไม่ช้าก็เสื่อม

เราน่ะมันดีแคไหน การทำตัวเป็นคนเก่งน่ะมันใช้ไม่ได้ มันต้องให้พระท่านเก่ง พระพุทธท่านเก่ง พระธรรมท่านเก่ง พระสงฆ์ท่านเก่ง เทวดาท่านเก่ง พระพรหมท่านเก่ง ท่านมาช่วยทำประเดี๋ยวเดียวก็เสร็จดีกว่าเราทำตั้งพันปีเราต้องการให้ท่านช่วยอะไรก็บอกไป

ของที่ทำจะคุ้มครองผู้คนทั้งบ้านทั้งเมืองได้ทุกคนถ้าหากพระก็ดี พระพรหมก็ดี เทวดาก็ดี ท่านช่วยคุ้มครองให้ ท่านก็มองเห็นถนัด คุ้มครองได้ถนัดและจำไว้อย่างหนึ่งว่า ถ้านำของนั้นไปใช้ในทางทุจริตคิดมิชอบก็ไม่มีอะไรจะคุ้มครองได้ ที่เป็นคนเลวอยู่แล้วก็ช่วยพยุงให้เลวน้อยหน่อย ต้องช่วยตัวเองด้วยไม่ใช่จะคอยพึ่งผ้ายันต์หรือพระ

ถ้าดีอยู่แล้วก็ช่วยให้ดียิ่งขึ้น นี่เป็นกฎของอำนาจพระพุทธบารมี พระธรรมบารมี พระสังฆบารมี ตลอดจนพระพรหมและเทวดาทั้งหลาย…”

ตอนนี้หลายท่านที่สนใจเรื่องนี้คงทราบแล้วว่า การสร้างพระเครื่องในแต่ละครั้งนั้นไม่ใช่ง่าย เมื่อได้ของดี ของวิเศษมาแล้วก็ต้องรู้จักใช้ รู้จักวิธีทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดเท่าที่จะทำได้

ก่อนคล้องพระต้องสวดบทคาถาอัญเชิญพระเข้าตัว

ตามหลักของบูรพาจารย์นั้น เมื่อรับพระเครื่องมาแล้วนั้นไม่ว่าจะรับจากครูบาอาจารย์โดยตรง จากคนอื่นหรือไปเช่ามา หรือด้วยเหตุอันใดก็ตาม ควรต้องมีการอัญเชิญพระเข้าตัว การอัญเชิญนี้เพื่อให้คนที่รับพระเครื่องนั้น น้อมนำและสำนึกในพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เป็นการเริ่มนิมิตหมายที่ดีในชีวิตที่กำลังเดินทางไปสู่ความเจริญ

ถ้าหากจะสวมใส่ในแต่ละวัน ให้สวดอัญเชิญพระเข้าตัวก่อนคล้องพระทุกครั้ง ในการสวดนั้นต้องทำจิตให้นิ่งระลึกเคารพถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ทุกครั้ง แล้วสวดคาถา พลังแห่งความศักดิ์สิทธิ์ในองค์พระที่ท่านใส่นั้น จะช่วยปกป้องคุ้มครองและดลบันดาลตามที่ท่านปรารถนา


บทสวดอัญเชิญพระเข้าตัวสัพเพพุทธา   สัพเพธัมมา   สัพเพสังฆา
พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะยังพลัง
อรหันตานัญ  จะเตเชนะ  รักขังพันธามิ   สัพพะโส
พุทธังอธิษฐามิ   ธัมมังอธิษฐามิ   สังฆังอธิษฐามิ
(สวด 3 จบหรือ 5 จบ ก่อนที่ห้อยพระ)



จะแขวนพระกี่องค์ถึงจะดี

เรื่องของการห้อยพระหรือแขวนพระนั้น หลายคนคงยังสงสัยหรือยังคิดไม่ออกว่า ควรจะแขวนพระกี่องค์ถึงจะดี และมีการถกเถียงกันมาก ซึ่งเรื่องนี้ในความจริงนั้นไม่มีข้อห้ามแต่อย่างใด แต่มีเคล็ดและข้อแนะนำ ที่อยากให้ลองอ่านและพิจารณาดูว่า เราเหมาะกับการแขวนพระอย่างไรมากกว่า ซึ่งท่านคิดว่าดีก็ลองทำดู แต่ถ้าคิดว่าไม่ดีก็แล้วแต่ท่านพิจารณา

– การแขวนพระนั้น เป็นการแขวนเพื่อเป็นพุทธานุสติ เพื่อระลึกถึงคำสอนของพระพุทธองค์ รวมถึงวัตรปฏิบัติที่ดีงามของครูบาอาจารย์ผู้เป็นเจ้าของหรือเป็นผู้สร้างพระเครื่องนั้นขึ้นมา ซึ่งหากมองกันให้ลึกซึ้งนั้น หลายท่านก็จะรู้เท่าทันถึงแห่งอนิจจังที่ซ่อนอยู่ว่า คนสร้างก็ตาย คนทำก็ตาย คนแขวนก็ต้องตาย แต่ความดี บุญกุศลและกรรมนั้นยังคงอยู่ตลอดไปกาลนาน

-คนที่ห้อยพระนั้น ต้องเป็นคนดีมีศีลธรรม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในองค์พระจะช่วยเมตตา แต่ท่านจะช่วยน้อยหรือมากอยู่ที่ตัวคนที่ห้อยพระนั้น พระเครื่องหรือสิ่งของต่างๆที่เป็นมงคล ไม่มีการเสื่อมของดีนั้นไม่วันเสื่อมด้วยตัวเอง  ส่วนผู้ใช้จะปฏิบัติดีปฏิบัติชอบหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

เหมือนกับคำสวดที่ว่า “นะโมฯ” คำพุทธคุณนี้ไม่เคยเสื่อมแต่ผู้พูดปฏิบัติดีแค่ใหน การรักษาก็คือต้องสำรวม กาย วาจา ใจ อย่าให้ขาดตกบกพร่อง  เดินตามรอยธรรมของพระพุทธองค์ หลวงพ่อคูณท่าน เคยบอกใว้ว่า “ทองคำก็คือทองคำไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน” พระเครื่องก็เช่นกัน ขึ้นอยู่กับว่าอยู่กับใคร

-การแขวนพระจะเป็นองค์เดียว 2-3-4 ถึง 9 องค์หรือมากกว่านั้น จะเป็นเลขคู่หรือเลขคี่นั้นแล้วแต่จริตความชอบ หลายคนบอกว่าคนโบราณนั้นแขวนเป็นเลขคี่แล้วแต่ความเชื่อ พระสงฆ์เวลานิมนต์ต้องเป็นเลขคี่ ซึ่งจะให้พิจารณาเรื่องหนึ่ง คำว่า คณะสงฆ์นั้นต้องครบ 4 รูป ตามพุทธบัญญัติถึงจะทำสังฆกรรมได้ เรื่องของการแขวนพระจะเป็นเลขคู่หรือจะคี่จึงเป็นที่ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

จะแขวนขึ้นก่อนขึ้นหลังให้ดูอย่างนี้ ถ้าจะเอาตามหลักจริงๆ ให้เรียงลำดับเนื้อนาบุญท่านในแต่ละองค์ เหมือนเราจัดพระพุทธรูปในบ้านที่หลายคนยังไม่เข้าใจว่า ต้องเรียงความสูงตามเนื้อนาบุญเพื่อแสดงความเคารพในเบื้องต้นเริ่มจากชั้นบนสุดต้องตั้งพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระอริยสงฆ์ พระมหาโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ ครูบาอาจารย์จนชั้นสุดท้ายคือ ฆราวาส เช่น พระมหากษัตริย์ สำหรับองค์เทพต่างๆ ต้องไปอยู่อีกฐานหนึ่งแยกออกไป

ถ้ายังไม่รู้อีกให้เรียงตามพรรษาหรือความเก่า สร้างก่อนสร้างหลัง ถ้าไม่รู้อีกก็ตามจริตศรัทธาของผู้ห้อยเลยหากต้องการพุทธคุณด้านไหน ก็เลือกเอาตามความพอใจ จะเป็นเมตตา อำนาจ บารมี ค้าขาย แคล้วคลาด แต่ข้อแนะนำว่า องค์ที่เป็นประธานที่อยู่ตรงกลางนั้นเป็นองค์ที่สำคัญที่สุด ที่เหลือนั้นตามความพอใจลดหลั่นกันไป หลายคนยึดคติโบราณเอาความหมายเช่น มั่น มี ศรี สุข ก็คือ หลวงปู่มั่น หลวงปู่มี หลวงปู่ศรี หลวงปู่ศุข ที่เอาแต่เสียงที่ออกเสียงเหมือนกัน

-หลายคนบอกว่า ห้อยพระหลายองค์ทำให้พลังศักดิ์สิทธิ์นั้นน้อย อย่าขอเรียนให้ทราบว่า พลังศักดิ์สิทธิ์นั้นท่านเท่ากันทุกองค์ เพราะมาจากพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น แต่ตัวเราเองนั้นเป็นเครื่องรับพลานุภาพที่ดีหรือไม่ เป็นคนมีศีล มีบุญบารมีหรือไม่ ซึ่งไม่ควรประมาทในบุญ ต้องสร้างบุญใหม่ขึ้นมาในชาตินี้เพื่อรวมกับบุญเก่า

-ถ้าพระเครื่ององค์นั้น ครูบาอาจารย์ท่านมีข้อกำหนดในการใช้คาถากำกับไว้ ก็ต้องสวดให้ครบถ้วนตามที่ท่านกำหนดไว้ ขอให้จำง่ายๆ ว่า มีของดีแล้วต้องหมั่นอาราธนาพระ เดินตามคำสอนอย่าฝ่าฝืนด้วยถึงจะดีจริง

-ควรทำบุญและอุทิศบุญไปให้ครูบาอาจารย์ที่สร้างอย่างสม่ำเสมอเพื่อเชื่อมบุญระหว่างตัวเรากับท่านให้กระชับเข้ามาใกล้กันมากขึ้น ครูบาอาจารย์ที่ท่านสร้างและมีวัตรปฏิบัติดีนั้น บางองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ บางองค์เป็นพระโพธิสัตว์ การได้ทำบุญและเชื่อมบุญกับท่านนั้นเป็นบุญใหญ่มาก


วันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2560

กรรมฐาน..วิธีแก้กรรมลดกรรมให้ตนเอง



กรรมฐาน..วิธีแก้กรรมลดกรรมให้ตนเอง เราทำกรรมไม่ดีไว้ควรทำอย่างไร

พอจะสรุปเป็นข้อข้อได้ดังนี้

1 .ตัดกังวล เลิกคิดเลิกเศร้าเสียใจ เลิกจิตตก ไม่มีใครไม่เคยทำผิดแต่ทำผิดแล้วสำนึกได้และจะไม่ทำอีกสำคัญกว่า

2 .ปฏิบัติตามแนว ทาน ศีล ภาวนา 

ทานทำให้รวย ศีลทำให้สวย ภาวนาทำให้มีปัญญาดี

     2.1. ทานให้เพื่อลดกิเลสในตัว และความโกรธ จะมีพรหมวิหาร 4  เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา มากขึ้น

     2.2. ถือศีล 5 เพื่อรักษากาย ติด ไม่ให้พลาดไปทำผิด เพราะธรรมชาติของใจคน ไหลลงที่ต่ำได้ง่ายกว่าขึ้นที่สูง ศีลเป็นทางนำให้เกิดสมาธิ และสมาธิจะนำทางไปสู่การเกิดปัญญา

     2.3.เจริญภาวนา เพื่อให้ได้ปัญญารู้แจ้งตามความเป็นจริง ของรูปนาม คืออนิจจัง ทุกขัง นัดดา และอสุภะ สิ่งที่ไม่สวยไม่งามเช่นซากศพ ทั้งสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน

กรรมฐาน ทำได้โดยตั้งใจมั่นไม่เสียสตางค์ แก้กรรมได้โดยตรงมีผลมากที่สุด เป็นบุญใหญ่ที่สุด ที่ได้จากกรรมฐานได้ทั้งตัวเอง อุทิศ ให้บุคคลอื่นๆได้ ทำให้ทุกชีวิต ดีขึ้น

วันเสาร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2560

"ทำไมต้องทำบุญ ? "


สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรังสี) วัดระฆังโฆสิตาราม กรุงเทพฯ 

ท่านได้เทศน์เรื่องทำบุญไว้ว่า

     

  "ทำไมต้องทำบุญ?"


..เพราะ บุญ เป็นพลังงาน ที่มีพลังดึงดูด ความเจริญ มาสู่ชีวิต เป็นต้นเหตุ แห่งความสุข ความสำเร็จ ในชีวิต

..ถ้าบุญน้อย อุปสรรคในชีวิตก็มาก
..ถ้าบุญมาก อุปสรรคในชีวิตก็น้อย

..ถ้าบุญอ่อนกำลังลง หรือ บุญหมด..
..บาปที่เคยทำไว้ ก็จะได้โอกาส ส่งผล
..ทำให้ชีวิต มีอุปสรรค ต่างๆนานา
..เช่น เจ็บไข้ได้ป่วย ไม่มีความสุข หมดอำนาจวาสนา เสียชื่อเสียงเกียรติยศ แม้คนที่รักกันก็หมดรัก แม้ทรัพย์ที่มีอยู่น้อยนิด ก็ยังรักษาไว้ไม่ได้..

..ฉะนั้น การจะมี ทรัพย์สมบัติทุกอย่าง และ ความสมบูรณ์พร้อมในชีวิต ก็ต้องมีบุญ ที่มากเพียงพอ

..ซึ่งไม่ว่า จะอยู่ในสถานภาพใด ล้วนต้องอาศัยบุญทั้งนั้น ไม่ว่าจะอยากอยู่แบบพอมีพอกิน หรือ คิดจะเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี หรือ พระเจ้าจักรพรรดิ

..แม้กระทั่ง ปรารถนา ที่จะหมดกิเลส บรรลุมรรคผล นิพพาน เป็นพระอรหันต์ เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต้องมีบุญถึง บารมีถึง ถึงจะดำรงอยู่ในสภาวะนั้น ได้อย่างมั่นคง และมีความสุข

..ด้วยเหตุนี้ เราจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่จะสั่งสมบุญ

..เพราะบุญ คือ เบื้องหลังความสุข ความสำเร็จ ในชีวิตทุกระดับ อย่างแท้จริง..


ทำบุญด้วยการแชร์ต่อบทความนี้...แชร์เรื่องบุญไปก็ได้บุญ

บุญและทาน ที่บังเกิดมี ในการส่งต่อ ขอให้เป็นอภิมหาบุญ ขอให้ผู้ที่ส่ง  มีความสุข  มีความเจริญ  รุ่งเรือง  ร่ำรวย มีความสุขกายสบายใจ  มีสุขภาพดี ไม่เจ็บไม่จน ปรารถนาสิ่งใด  สมความปรารถนาทุกๆประการ ขอให้ผลบุญนั้น เห็นผลทันตา ด้วยเทอญ (อธิษฐาน) สาธุ