วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

คาถา “ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก” ต้นฉบับโบราณดั้งเดิม เสริมโชคลาภ คุ้มกันภัย!


คาถา “ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก”
ต้นฉบับโบราณดั้งเดิม เสริมโชคลาภ คุ้มกันภัย!

ต้นฉบับเดิมเปิดกรุได้ที่เมืองสวรรค์โลก จารเป็นอักษรขอม จารึกไว้ในใบลาน โบราณาจารย์จึงได้แปลเป็นอักษรไทย หลวงธรรมาธิกรณ์ (พระภิกษุแสง) ได้มาแต่พระแท่นศิลาอาสน์ มณฑลพิษณุโลกมีคำกล่าวในหนังสือนำนั้นว่า ผู้ใดมียอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกไว้ประจำบ้านเรือน มีอานิสงส์ยิ่งกว่าได้สร้างพระเจดีย์ทองคำสูงเทียมเทวโลกและป้องกันภยันตรายต่าง ๆ ทำมาหากินเจริญ ฯลฯ

ประวัติต้นฉบับเดิมกล่าวว่า หนังสือยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกนี้ มีคำกล่าวไว้ในหนังสือนำว่าเป็นพุทธมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ ถ้าผู้ใดได้สวดมนต์ภาวนาทุกเช้าค่ำแล้ว เป็นการบูชารำลึกถึงพระพุทธเจ้า ผู้นั้นจะไม่ไปตกอบายภูมิ แม้ได้บูชาไว้กับบ้านเรือน ก็ป้องกันอันตรายต่าง ๆ จะภาวนาพระคาถาอื่น ๆ สัก ๑๐๐ ปี อานิสงส์ก็ไม่สูงเท่าภาวนาพระคาถานี้ครั้งหนึ่ง ถึงแม้ว่า อินทร์ พรหม ยมยักษ์ ที่มีอิทธิฤทธิ์ จะเนรมิตแผ่นอิฐเป็นทองคำก่อเป็นพระเจดีย์ ตั้งแต่มนุษย์โลกสูงขึ้นไปจนถึงพรหมโลก อานิสงส์ก็ยังไม่เท่าภาวนายอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกนี้ และมีคำอธิบายคุณความดีไว้ในต้นฉบับเดิมนั้นอีกนานับปการ ฯ

ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกนี้ ถ้าผู้ใดบริจาคทรัพย์สร้างถวาย พระภิกษุสงฆ์ สามเณร ญาติ-มิตรสหาย หรือสวดจนครบ ๗ วัน ครบอายุปัจจุบันของตน จะบังเกิดโชคลาภทำมาค้าขายเจริญรุ่งเรือง จะพ้นเคราะห์ ปราศจากทุกข์โศกโรคภัยและภัยพิบัติทั้งปวง ฯ  ผู้ใดตั้งจิตเจริญภาวนายอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกวันละ ๓ จบ จะไม่มีบาปกรรม ทำสิ่งใดจะได้สมความปรารถนา สวดวันละเจ็ดจบ กระดูกลอยน้ำได้ ต่อมามีผู้นิยมสร้างหนังสือนี้ขึ้น โดยเชื่อว่าผู้ใดสร้าง ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกนี้เป็นธรรมทาน และสวดมนต์สักการบูชาเป็นประจำ จะมีผลานิสงส์สุดที่จะพรรณ นาให้ทั่วถึงได้ นับเป็นมหากุศลอันยิ่งใหญ่ จะมีความสุขสิริสวัสดิ์เจริญต่อไปทั้งปัจจุบันกาลและอนาคตภายภาคหน้า ตลอดทั้งบุตรหลานสืบไป ด้วยอำนาจของความเคารพในพระคาถานี้

ยอดพระกัณฑ์ฉบับนี้ ได้มาจากต้นฉบับเดิมที่จารไว้บนใบลานเป็น อักษรขอม ซึ่ง เปิดกรุครั้งแรกที่เมืองสวรรคโลก มีบันทึกเอาไว้ว่าผู้ใดสวดมนต์เป็นประจำทุกเช้าเย็น จะป้องกันภัยอันตรายต่างๆได้รอบด้าน ภาวนาพระคาถาอื่นสัก ๑๐๐ปีก็ไม่เท่ากับอานิสงส์ของการสวดยอด พระกัณฑ์พระไตรปิฎก นี้เพียงครั้งเดียว ผู้ใดที่สวดครบ ๗ วัน หรือครบอายุปัจจุบันของตัวเอง จะมีโชคลาภ ทำมาค้าขายรุ่งเรือง ปราศจากภัยพิบัติทั้งปวง

ก่อนสวดยอดพระกัณฑ์พระไตรปิฏก พึงคุกเข่าพนมมือตั้งใจบูชาพระรัตนตรัย นมัสการพระรัตนตรัย นมัสการพระพุทธเจ้า นมัสการพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ขอให้ตั้งจิตมั่นในบทสวดมนต์จะมีเทพยดาอารักษ์ทั้งหลายร่วมอนุโมทนาสาธุการ อย่าได้ทำเล่นจะเกิดโทษแก่ตัว โบราณท่านว่า ผู้ใดได้พบยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกนี้แล้ว ท่านว่าเป็นบุญอันประเสริฐนัก เมื่อพบแล้วให้พยายามสวดภาวนาอยู่เป็นนิตย์ตราบเท่าชีวิต จนทำลายขันธ์จากมนุษย์โลก แล้วก็จะไปยังเกิดในสัมปรายภพสวรรค์สุคติภพด้วยพระอานิสงส์เป็นแน่แท้ ถ้าผู้ใดจะสวดขออานุภาพให้ผู้ป่วยไข้อาการจะดีขึ้น จะสวดแผ่กุศลอุทิศไปให้ บิดา มารดา หรือครูบาอาจารย์ อุปัชฌาย์ ผู้มีพระคุณของท่านแล้ว ให้เขียน จิ เจ รุ นิ และชื่อท่านนั้น ๆ ใส่กระดาษก่อนสวดทุกครั้ง เมื่อสวดกี่จบครบตามที่เราต้องการแล้วให้นำกระดาษนั้นเผาไฟ และกรวดน้ำโดยคารวะ บอกชื่อฝากพระแม่ธรณีนำกุศลอันนี้ให้ท่านผู้นั้น ได้ตามความปรารถนาของเราทุกครั้ง

1. ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บจากเจ้ากรรมนายเวร
2. กิจการงานเจริญรุ่งเรือง อุดมด้วยโภคทรัพย์
3. ปู่ย่า ตายาย บิดามารดา บุตร ที่อยู่เบื้องหลังมีความเจริญรุ่งเรือง
4. บิดา มารดา จะมีอายุยืน
5. สามีภรรยา รักใคร่ดีต่อกัน บุตรหลานเป็นคนดี
6. บุตร เกิดมาเฉลียวฉลาด ปัญญาดี เลี้ยงง่าย สุขภาพดี
7. วิญญาณของบรรพบุรุษจะสู่สุคติภพ
8. เสริมบุญบารมีให้ตนเอง
9. แคล้วคลาดจากอันตรายต่าง ๆ
10. เมื่อสิ้นอายุขัยจะไปสู่สุคติภูมิ

ขอตั้งสัตยาธิษฐาน ขอความเจริญรุ่งเรือง จงบังเกิดแก่ท่านผู้สร้าง ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกนี้ เพื่อความงอกงามในพระพุทธศาสนาสืบไป

คำบูชาพระรัตนตรัย
โย โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ อิเมหิ สักกาเรหิ , ตัง ภะคะวันตัง อะภิปูชะยามิ
โย โส สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม อิเมหิ สักกาเรหิ , ตัง ธัมมัง อะภิปูชะยามิ
โย โส สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อิเมหิ สักกาเรหิ , ตัง สังฆัง อะภิปูชะยามิ

คำนมัสการพระรัตนตรัย
อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ (กราบ)
สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ (กราบ)
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ (กราบ )

คำนมัสการพระพุทธเจ้า
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

คำนมัสการไตรสรณคมน์
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ


บทนมัสการพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ
อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสามระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ ฯ (กราบ)
สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ ฯ (กราบ)
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเณยโย อัญชะลี กะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ ฯ (กราบ)


ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก ต้นฉบับเดิม

๑.
อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง วะตะ โส ภะคะวา.
อิติปิ โส ภะคะวา สัมมาสัมพุทโธ วะตะ โส ภะคะวา.
อิติปิ โส ภะคะวา วิชชาจะระณะ สัมปันโน วะตะ โส ภะคะวา.
อิติปิ โส ภะคะวา สุคะโต วะตะ โส ภะคะวา.
อิติปิ โส ภะคะวา โลกะวิทู วะตะ โส ภะคะวา .
อะระหันตัง สะระณัง คัจฉามิ.
อะระหันตัง สิระสา นะมามิ.
สัมมาสัมพุทธัง สะระณัง คัจฉามิ.
สัมมาสัมพุทธัง สิระสา นะมามิ.
วิชชาจะระณะสัมปันนัง สะระณัง คัจฉามิ.
วิชชาจะระณะสัมปันนัง สิระสา นะมามิ.
สุคะตัง สะระณัง คัจฉามิ.
สุคะตัง สิระสา นะมามิ.
โลกะวิทัง สะระณัง คัจฉามิ.
โลกะวิทัง สิระสา นะมามิ.

๒.
อิติปิ โส ภะคะวา อะนุตตะโร วะตะ โส ภะคะวา.
อิติปิ โส ภะคะวา ปุริสะทัมมะสาระถิ วะตะ โส ภะคะวา.
อิติปิ โส ภะคะวา สัตถา เทวะมะนุสสานัง วะตะ โส ภะคะวา.
อิติปิ โส ภะคะวา พุทโธ วะตะ โส ภะคะวา.
อะนุตตะรัง สะระณัง คัจฉามิ.
อะนุตตะรัง สิระสา นะมามิ.
ปุริสะทัมมะสาระถิ สะระณัง คัจฉามิ.
ปุริสะทัมมะสาระถิ สิระสา นะมามิ.
สัตถา เทวะมะนุสสานัง สะระณัง คัจฉามิ.
สัตถา เทวะมะนุสสานัง สิระสา นะมามิ.
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ.
พุทธัง สิระสา นะมามิ. อิติปิ โส ภะคะวา ฯ

๓.
อิติปิ โส ภะคะวา รูปะขันโธ อะนิจจะลักขะณะปาระมิ จะ สัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา เวทะนาขันโธ อะนิจจะลักขะณะปาระมิ จะ สัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา สัญญาขันโธ อะนิจจะลักขะณะ ปาระมิ จะ สัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา สังขาระขันโธ อะนิจจะลักขะณะปารมิ จะ สัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา วิญญาณะขันโธ อะนิจจะลักขะณะปาระมิ จะสัมปันโน.

๔.
อิติปิ โส ภะคะวา ปะฐะวีธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา อาโปธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา เตโชธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา วาโยธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา อากาสะธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิโส ภะคะวา วิญญาณะธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา จักกะวาฬะธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.

๕.
อิติปิ โส ภะคะวา จาตุมมะหาราชิกา ธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา ตาวะติงสาธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา ยามาธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา ตุสิตาธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา นิมมานะระตีธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา ปะระนิมมิตะวะสะวัตตีธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา กามาวะจะระธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา รูปาวะจะระธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา อะรูปาวะจะระธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา โลกุตตะระธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.

๖.
อิติปิ โส ภะคะวา ปะฐะมะฌานะธาตุสะมาธิ-ญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา ทุติยะฌานะธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา ตะติยะฌานะธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา จะตุตถะฌานะธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา ปัญจะมะฌานะธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.

๗.
อิติปิ โส ภะคะวา อากาสานัญจายะตะนะธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา วิญญานัญจายะตะนะธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา อากิญจัญญายะตะนะธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา เนวะสัญญานาสัญญายะตะนะธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.

๘.
อิติปิ โส ภะคะวา โสตาปัตติมัคคะธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา สะกิทาคามิมัคคะธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา อะนาคามิมัคคะธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัตตะมัคคะธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา โสตาปัตติผะละธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา สะกิทาคามิผะละธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา อะนาคามิผะละธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.
อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัตตะผะละธาตุสะมาธิญาณะสัมปันโน.

๙.
กุสะลา ธัมมา อิติปิ โส ภะคะวา อะอา ยาวะชีวัง พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ชัมพู ทีปัญจะ อิสสะโร กุสะลา ธัมมา นะโม พุทธายะนะโม ธัมมายะ นะโม สังฆายะ
ปัญจะ พุทธา นะมามิหัง อา ปา มะ จุ ปะ, ที มะ สัง อัง ขุ, สัง วิ ธา ปุ กะ ยะ ปะ, อุปะสะชะสะเห
ปาสายะโส ฯ
โส โส สะ สะ อะ อะ อะ อะ นิ เต ชะ สุ เน มะ ภู จะ นา วิ เว อะ สัง วิ สุ โล
ปุ สะ พุ ภะ อิสวาสุ สุสวาอิ กุสะลา ธัมมา จิตติวิอัตถิ.
อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง อะอา ยาวะชีวัง พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ สาโพธิปัญ จะ อิสสะโร ธัมมา.
กุสะลา ธัมมา นันทะวิวังโก อิติ สัมมาสัมพุทโธ สุคะลาโน ยาวะชีวัง พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ.

๑๐.
จาตุมมะหาราชิกา อิสสะโร กุสะลา ธัมมา อิติ วิชชาจะระณะสัมปันโน อุอุ ยาวะชีวัง พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ.
ตาวะติงสา อิสสะโร กุสะลา ธัมมา นันทะ ปัญจะ สุคะโต โลกะวิทู มะหาเอโอ ยาวะชีวัง พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ.
ยามา อิสสะโร กุสะลา ธัมมา พรหมาสัททะ ปัญจะสัตตะ สัตตาปาระมี อะนุตตะโร ยะมะกะขะ ยาวะชีวัง พุทธัง
สะระณัง คัจฉามิ.
ตุสิตา อิสสะโร กุสะลา ธัมมา ปุยะปะกะ ปุริสะทัมมะสาระถิ ยาวะชีวัง พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ.
นิมมานะระตี อิสสะโร กุสะลา ธัมมา เหตุโปวะ สัตถา เทวะมะนุสสานัง ตะถา ยาวะชีวัง พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ.
ปะระนิมมิตะวะสะวัตตี อิสสะโร กุสะลา ธัมมา สังขาระขันโธ ทุกขัง ภะคะวะตา ยาวะ นิพพานัง สะระณัง คัจฉามิ ฯ
พรหมา อิสสะโร กุสะลา ธัมมา นัตถิปัจจะยา วินะปัญจะ ภะคะวะตา ยาวะ นิพพานัง สะระณัง คัจฉามิ.

๑๑.
นะโม พุทธัสสะ นะโม ธัมมัสสะ นะโม สังฆัสสะ พุทธิลาโภกะลา กะระกะนา เอเตนะ สัจเจนะ
สุวัตถิ โหนตุ หุลู หุลู หุลู สะวาหายะ.
นะโม พุทธัสสะ นะโม ธัมมัสสะ นะโม สังฆัสสะ วิตติ วิตติ วิตติ มิตติ มิตติ มิตติ จิตติ จิตติ วัตติ วัตติ มะยะสุ สุวัตถิ โหนตุ หุลู หุลู หุลู สะวาหายะ.

อินทะสาวัง มะหาอินทะสาวัง พรหมะสาวัง มะหาพรหมะสาวัง จักกะวัตติสาวัง มะหาจักกะวัตติ-สาวัง เทวาสาวัง มะหาเทวาสาวัง อิสีสาวัง มะหาอิสีสาวัง มุนีสาวัง มหามุนีสาวัง สัปปุริสะสาวัง มหาสัปปุริสะสาวัง พุทธะสาวัง ปัจเจกะพุทธะสาวัง อะระหัตตะสาวัง สัพพะสิทธิวิชชาธะรานังสาวัง สัพพะโลกาอิริยานังสาวัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหนตุ.

สาวัง คุณัง วะชะ พะลัง เตชัง วิริยัง สิทธิกัมมัง ธัมมัง สัจจัง นิพพานัง โมกขัง คุยหะกัง ทานัง สีลัง ปัญญา นิกขัง ปุญญัง ภาคะยัง ยะสัง ตัปปัง สุขัง สิริ รูปัง จะตุวีสะติเทสะนัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหนตุ หุลู หุลู หุลู สะวาหายะ ฯ

๑๒.
นะโม พุทธัสสะ ทุกขัง อะนิจจัง อะนัตตา รูปะขันโธ เวทะนาขันโธ สัญญาขันโธ สังขาระขันโธ วิญญาณะขันโธ นะโม อิติปิโส ภะคะวา.
นะโม ธัมมัสสะ ทุกขัง อะนิจจัง อะนัตตา รูปะขันโธ เวทะนาขันโธ สัญญาขันโธ สังขาระขันโธ วิญญาณะขันโธ นะโม สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม.
นะโม สังฆัสสะ ทุกขัง อะนิจจัง อะนัตตา รูปะขันโธ เวทะนาขันโธ สัญญาขันโธ สังขาระขันโธ วิญญาณะขันโธ นะโม สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ วาหะปะริตตัง.
นะโม พุทธายะ มะอะอุ ทุกขัง อะนิจจัง อะนัตตา ยาวะ ตัสสะ หาโย นะโม อุอะมะ ทุกขัง อะนิจจัง อะนัตตา อุ อะมะ อาวันทา นะโม พุทธายะ นะ อะ กะ ติ นิ สะ ระ นะ อา ระ ปะ ขุ ธัง มะ อะ อุ ทุกขัง อะนิจจัง อะนัตตา ฯ
(กราบ ๓ ครั้ง)

คำกรวดน้ำ ของยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก
อิมินา ปุญญะกัมเมนะ ด้วยเดชะผลบุญของข้าพเจ้า ได้สวดยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกนี้ ขอให้ค้ำชู อุดหนุน คุณบิดามารดา พระมหากษัตริย์ ผู้มีพระคุณ ญาติกา ครู อุปัชฌาย์ อาจารย์ เจ้ากรรมนายเวร มิตรรักสนิท เพื่อนสรรพสัตว์น้อยใหญ่ พระภูมิเจ้าที่ เจ้ากรุงพาลี แม่พระธรณี แม่พระคงคา แม่พระโพสพ พญายมราช นายนิริยบาล ท้าวจะตุโลกะบาลทั้งสี่ ศิริคุตอำมาตย์ ชั้นจาตุมมะหาราชิกาเบื้องบน สูงสุดจนถึงภวัคคะพรหม และเบื้องล่างต่ำสุด ตั้งแต่โลกันตมหานรกและอเวจีขึ้นมา จนถึงโลกมนุษย์ สุดรอบขอบจักรวาล อนันตจักรวาล คุณพระศรีรัตนตรัย และเทพยดาทั้งหลาย ตลอดทั้งอินทร์ พรหม ยมยักษ์ คนธรรพ์ นาคา พระเพลิง พระพาย พระพิรุณ ท่านทั้งหลายที่ต้องทุกข์ขอให้พ้นจากทุกข์ ท่านทั้งหลายที่ได้สุขขอให้ได้สุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป ด้วยเดชะผลบุญแห่งข้าพเจ้าอุทิศให้ไปนี้ จงเป็นอุปนิสัยปัจจัยให้ถึงพระนิพพานในปัจจุบัน และอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเทอญ ฯ
พุทธัง อะนันตัง ธัมมัง จักกะวาลัง สังฆัง นิพพานะปัจจะโย โหนตุ.


คำแผ่เมตตาให้ตนเอง
อะหัง สุขิโต โหมิ ขอให้ข้าพเจ้ามีความสุข
นิททุกโข โหมิ ปราศจากความทุกข์
อะเวโร โหมิ ปราศจากเวร
อัพยาปัชโฌ โหมิ ปราศจากอุปสรรคอันตรายทั้งปวง
อะนีโฆ โหมิ มีความสุขกายสุขใจ
สุขี อัตตานัง ปะริหะรามิ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด

คำแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์
สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
อะเวรา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย
อัพยาปัชฌา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย
อะนีฆา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย
สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ จงมีความสุขกายสุขใจรักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นเถิด


บทแผ่ส่วนบุญกุศล
อิทัง เม มาตาปิตูนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ มาตาปิตะโร
ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่มารดา บิดาของข้าพเจ้า ขอให้มารดา บิดาของข้าพเจ้ามีความสุข
อิทัง เม ญาตีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย
ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า ขอให้ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้ามีความสุข
อิทัง เม คุรูปัชฌายาจริยานัง โหตุสุขิตา โหนตุ คุรูปัชฌายาจริยา
ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ของข้าพเจ้า ขอให้ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ของข้าพเจ้ามีความสุข
อิทัง สัพพะเทวะตานัง โหตุสุขิตา โหนตุ สัพเพเทวาขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่เทวดาทั้งหลาย ขอให้เทวดาทั้งหลายจงมีความสุข
อิทัง สัพพะเปตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุสัพเพ เปตา
ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่เปรตทั้งหลาย ขอให้เปรตทั้งหลายจงมีความสุข
อิทัง สัพพะเวรีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุสัพเพเวรี
ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ขอให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายจงมีความสุข
อิทัง สัพพะสัตตานัง โหตุสุขิตา โหนตุ สัพเพ สัตตาขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่สัตว์ทั้งหลาย ขอให้สัตว์ทั้งหลายจงมีความสุขทั่วหน้ากันเทอญ


คำอุทิศบุญกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวร

ตั้งนะโม 3 จบ
ข้าพเจ้า..................กราบพระพุทธเจ้า กราบพระธรรม กราบพระสงฆ์ กราบบิดามารดา กราบครูบาอาจารย์ ขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงดลบันดาลให้กุศลผลบุญที่ข้าพเจ้าได้สั่งสมมา ตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติ จงไหลมารวมอยู่ที่ข้าพเจ้า และขอกุศลผลบุญนั้นจงอยู่ที่ข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าขอแผ่เมตตาจิตอุทิศส่วนกุศลผลบุญดังกล่าวข้างต้น ให้แก่ดวงจิตวิญญาณ ที่เจ็บและตายด้วย กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ในอดีตชาติ
ณ บัดนี้ ท่านทั้งหลาย จะอยู่ภพใดหรือภูมใดก็ตาม ขอให้ทำตนรับผลบุญนี้ และขอจงได้รับส่วนกุศลผลบุญนี้ หากท่านทุกข์ขอให้พ้นจากทุกข์ หากท่านสุขขอให้สุขยิ่งๆขึ้นไป
ขอจงมาอนุโมทนาบุญและรับส่วนบุญส่วนกุศลนี้มีความร่มเย็นเป็นสุข หากมีเวรกรรมต่อกัน ขอจงอโหสิกรรมและอนุโมทนาบุญแก่ข้าพเจ้าด้วยอำนาจแห่งบุญนี้ด้วยเทอญฯ (ทำจิตให้สงบตามเวลาที่ทำได้)

เสร็จพิธีแล้วกรวดน้ำอุทิศบุญกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวร บิดามารดา ปู่ย่า ตายาย ญาติทั้งหลาย เทพเทวดา เจ้าที่เจ้าทาง สัมพเวสี และพระแม่ธรณี แล้วนำน้ำที่กรวดเรียบร้อยแล้ว เทใต้ต้นไม้ ฝากพระแม่ธรณีนำผลบุญสู่ทุกท่านทุกรูปทุกนาม เทอด  โบราณว่าผู้ใดสร้างบุญกุศลและได้สวดภาวนา ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกเป็นประจำจะมีอานิสงส์มาก ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกเป็นพุทธมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ ไว้สำหรับสวดและภาวนาทุกเช้าค่ำ เพื่อความสวัสดีเป็นสิริมงคลแก่ผู้สาธยาย อันเป็นบ่อเกิด มหาเตชัง มีเดชมาก มหานุภาวัง มีอานุภาพมาก และมีลาภยศ สุขสรรเสริญ ปราศจากทุกข์โศกโรคภัย อุปัทวันตราย และความพินาศทั้งปวง ตลอดทั้งหมู่มารร้ายและศัตรูคู่อาฆาตไม่อาจแผ้วพานได้ ภาวนาแล้วจะนำมาซึ่งลาภยศ สุขสรรเสริญและปราศจากอันตรายทั้งปวง ตลอดทั้งเป็นการระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า เป็นการเจริญพระพุทธานุสติ วิปัสสนากัมมัฏฐานเป็นแดนเกิดของสมาธิอีกด้วย

พระอริยสงฆ์เจ้าทั้งหลายต่างก็กล่าวเน้นว่า พระพุทธศาสนาเป็นของจริงของแท้ที่เรายึดมั่นเป็นหลักชัยแห่งชีวิตได้ ยิ่งมีการปฏิบัติธรรมทั้งทาน ศีล ภาวนา สม่ำเสมอความสุขความเจริญเกิดขึ้นแก่ตนแน่ อย่าสงสัย การรวยทรัพย์สินเงินทองไม่ได้ก่ออานิสงส์ ไม่เท่ากับรวยบุญรวยกุศล ซึ่งจะบังเกิดความสุขความเจริญในปัจจุบัน และตามติดวิญญาณไปทุกภพทุกชาติด้วย ฉะนั้นชาวพุทธทั้งหลาย จงเจริญภาวนา ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกทุกเช้าค่ำเถิด จะบังเกิดความสวัสดิมงคลแก่ตนและครอบครัวโดยทั่วหน้า

วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

อานุภาพหมัดธนู หลวงปู่ภู วัดอินทรฯ


อานุภาพหมัดธนู หลวงปู่ภู วัดอินทรฯ

“โอมตรีเพ็ชรเทพยดา ให้กรรมสิทธิ์แก่ข้าสวาหะ จะฉะสัพพัง มรณังภะเว”
วิชาหมัดธนู เป็นวิชาของนักรบไทย ตั้งแต่สมัยโบราณ วิชานี้จะมีอานุภาพมากหรือน้อย อยู่ทีอำนาจพลังจิต และการฝึกฝน ใครฝึกมากได้มาก ใครฝึกน้อยได้น้อย หรือไม่ได้เลย ยกเว้นมีตัวช่วย แบบวิชาอ.ฉลอง เมืองแก้ว อ.ฉลองท่านจะลงธนูมือให้ลูกศิษย์ แต่ของท่านจะเรียกว่าธนูพราย คือเอาน้ำมันพรายมาลงที่มือ เวลาต่อยคู่ต่อสู้ จะเหมือนมีผีพุ่งไปทั้งตัว ลูกศิษย์ท่านตัวเล็กๆ เคยต่อยคนตัวใหญ่ สลบเหมือดในหมัดเดียว

ผู้ที่แสดงนี้ วิชาธนูมือแล้วมีบันทึกไว้ คือหลวงปู่ภู วัดอินทรฯ เกจิผู้เฒ่า ศิษย์สมเด็จโต วัดระฆัง ตามประวัติ หลวงปู่ภูกับพระพี่ชายท่าน หลวงปู่ใหญ่ มาบูรณะวัดอินทรฯนี้ด้วยกัน แต่หลวงปู่ภูท่านชอบธุดงค์ เมื่อสร้างวัดได้พอเจริญขึ้น หลวงปู่ภูก็ปลีกวิเวกออกธุดงค์ ปล่อยให้พระพี่ชายดูแลวัดแต่เพียงผู้เดียว

ต่อมาวัดมีความเจริญรุ่งเรืองขึ้น มีพระมาจำพรรษามากมาย หลวงปู่ภูได้แวะมาเยี่ยมหลวงปู่ใหญ่ หลวงปู่ใหญ่จึงชักชวนหลวงปู่ภู ให้มาพักที่วัดนี้ จะได้ช่วยกันบูรณะปฏิสังขรณ์วัดด้วยกัน เมื่อหลวงปู่ภูรับคำ หาคิดไม่ว่า จะมีเรื่องกวนใจมาก จนท่านต้องใช้วิชาธนูมือ

มีพระเจ้าถิ่นอยู่องค์หนึ่ง อายุรุ่นราวคราวเดียวกับหลวงปู่ภู ว่าหลวงปู่ภูตัวใหญ่แล้ว แต่พระองค์นี้ใหญ่กว่าหลวงปู่ภูอีก องค์นี้เขาหมายมั่นปั้นมือ ว่าจะเป็นเจ้าอาวาสต่อจากหลวงปู่ใหญ่ แต่เมื่อหลวงปู่ภูมาจำพรรษาที่นี่ ทำให้รู้สึกเดือดร้อนใจมาก เพราะพรรษาหลวงปู่ภูก็มากกว่า ซ้ำยังเป็นน้องชายแท้ๆหลวงปู่ใหญ่อีก

พระองค์นี้จึงคอยหาเรื่องหลวงปู่ภูตลอด พูดลอยๆแขวะหลวงปู่ภู คอยจ้องหาเรื่องตลอด หลวงปู่ภูขณะนั้นเพิ่งกับมาอยู่วัด ถึงแม้จะเป็นน้องหลวงปู่ใหญ่ แต่ก็เหมือนหัวเดียวกระเทียม พระลูกวัดส่วนมากก็เป็นพวกพระองค์นี้ หลวงปู่ภูขณะนั้น มีความรู้สึกรำคาญใจมาก บางครั้งถึงกับจะแบกกลดหนีออกไป แต่ด้วยกำลังใจ ที่เป็นคนเด็ดเดี่ยว ไม่เคยย่อท้อต่อสิ่งใด จึงอดทนอยู่

แต่แล้วความอดทนของท่าน ก็ขาดผลึงลง เมื่อขณะเสร็จจากทำวัตรเช้าในพระอุโบสถ พระองค์นี้ได้มายืนต่อว่าท่าน ท้าทายท่าน เพราะพระองค์นี้ถือว่าตัวใหญ่กว่าท่านอีก จึงไม่มีความเกรงกลัวหลวงปู่ภู หลวงปู่ภูสุดจะอดกลั้น จึงเดินไปเผชิญหน้ากับพระองค์นั้น ลักษณะตอนนั้น คงเหมือนเวลาเขาโปรโมทนักมวย ที่เอานักมวยทั้งคู่มาเผชิญหน้ากันยังไงยังงั้น

แค่ระยะประชิดตัว หลวงปู่ภูยกหมัดขึ้นมาแค่เอวต่อยไปที่ท้องพระองค์นั้นเบาๆ พระองค์นั้นทรุดลงไปชักดิ้นชักงอ น้ำหูน้ำตาไหลออกมาพลั่ก ของที่ฉันเข้าไปอ๊วกกระอักออกมาหมด ร้อนจนถึงหลวงปู่ใหญ่ต้องมาขอร้องหลวงปู่ภู ให้แก้ให้ หลวงปู่ภูจึงยอมถอนพระเวทย์ออก แต่พระองค์นั้น ก็ต้องให้พระลูกหาบ หามไปกุฏิ หลังจากนั้นพระองค์นั้นองค์นั้นเข็ดไม่กล้ายุ่งกับหลวงปู่ภูอีกเลย

วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

บารมี 30 ทัศ สวดแล้วชีวิตดี พ้นทุกข์ภัย


สวดแล้วชีวิตดี พ้นภัย พ้นทุกข์โศก

 เขียนแนะนำไว้โดย ท่าน ธ. ธรรมรักษ์



บทสวดบารมี 30 ทัศ



บารมี 30 ทัศน์ คือ คาถาและคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ประเสริฐ กล่าวถึงแนวทางสำหรับผู้ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า เพื่อบรรลุโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล ซึ่งพระพุทธองค์ได้ปฏิบัติมาแล้วในภพชาติต่างๆ ประมาณ 500 ชาติ



ซึ่งบารมี 30 ทัศน์ นี้แม้ท่านที่ไม่ได้ตั้งจิตอธิษฐานปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าถ้าได้สวดเป็นประจำ จะยิ่งเพิ่มบุญบามีมากมายมหาศาลประมาณค่ามิได้ และบทสวดนี้สืบทอดโดยครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนาไทย



การสวดนั้นต้องอยู่ในสมาธิที่แน่วแน่ จิตอย่าส่าย มุ่งจิตไปรวมที่ตักอักขระในแต่ละตัว จะเกิดบารมีมากมายจนประมาณค่ามิได้



บทสวด



ทานะ ปาระมี สัมปันโน , ทานะ อุปะปารมี สัมปันโน , ทานะ ปะระมัตถะปารมี สัมปันโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา



สีละ ปาระมี สัมปันโน , สีละ อุปะปารมี สัมปันโน , สีละ ปะระมัตถะปารมี สัมปันโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา



เนกขัมมะ ปาระมี สัมปันโน , เนกขัมมะ อุปะปารมี สัมปันโน , เนกขัมมะ ปะระมัตถะปารมี สัมปันโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา



ปัญญา ปาระมี สัมปันโน , ปัญญา อุปะปารมี สัมปันโน , ปัญญา ปะระมัตถะปารมี สัมปันโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา



วิริยะ ปาระมี สัมปันโน , วิริยะ อุปะปารมี สัมปันโน , วิริยะปะระมัตถะปารมี สัมปันโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา



ขันตี ปาระมี สัมปันโน , ขันตี อุปะปารมี สัมปันโน , ขันตีปะระมัตถะปารมี สัมปันโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา



สัจจะ ปาระมี สัมปันโน , สัจจะ อุปะปารมี สัมปันโน , สัจจะ ปะระมัตถะปารมี สัมปันโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา



อะธิฏฐานะ ปาระมี สัมปันโน , อะธิฏฐานะ อุปะปารมี สัมปันโน , อะธิฏฐานะ ปะระมัตถะปารมี สัมปันโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา



เมตตา ปาระมี สัมปันโน , เมตตา อุปะปารมี สัมปันโน , เมตตา ปะระมัตถะปารมี สัมปันโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา



อุเปกขา ปาระมี สัมปันโน , อุเปกขา อุปะปารมี สัมปันโน , อุเปกขา ปะระมัตถะปารมี สัมปันโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา



ทะสะ ปาระมี สัมปันโน , ทะสะ อุปะปารมี สัมปันโน , ทะสะ ปะระมัตถะปารมี สัมปันโน เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา อุเปกขา ปาระมีสัมปันโน , อิติปิ โส ภะคะวา



พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ นะมามิหัง

ทางเดินสุดท้ายก่อนตาย คำสอน หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค



ทางเดินสุดท้ายก่อนตาย
คำสอน หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค


"ถึงแม้เราจะมีคาถาอาคมของดีอะไรก็ตาม
เราก็ต้องตาย ก่อนตายควรเลือกทางเดิน
เอาอย่างน้อยที่สุด เราควรไปสวรรค์
ชั้นกามาวจรให้ได้

ขอให้ทุกคนน่ะ เวลาก่อนจะหลับ ให้นึกถึง
ความดีที่ตนเคยทำ ทรัพย์สินที่สละ
เป็นวิหารทาน ธรรมทาน สังฆทาน
เลี้ยงพระ นึกถึงศีลที่ตนเคยรับมา
เทศน์ที่ตนเคยฟัง แล้วหมั่นภาวนา
ถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ
พระพุทโธ ธัมโม สังโฆ

เมื่อจะเจริญกรรมฐาน ให้ตั้งอยู่ในพรหมวิหาร 4
ให้เป็นฌาณสมาธิแน่วแน่ ให้แผ่เมตตา
ไปทั่วจักรวาล แล้วจึงพิจารณา
ตามอารมณ์วิปัสสนาหรือภาวนา
ตามแบบสมถะ ทุกคนตายแล้ว
จงไปสวรรค์ จงไปพรหมโลก จงไปนิพพาน"

วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

เพลงบรรเลงเพื่อการฝึกสมาธิ เสียงดนตรีรูปพรหม Audio music for meditation.

เพลงบรรเลงเพื่อการฝึกสมาธิ  เสียงดนตรีรูปพรหม

เพลงบรรเลงเพื่อการฝึกสมาธิ เสียงดนตรีอรูปพรหม Audio music for meditation.

เพลงบรรเลงเพื่อการฝึกสมาธิ เสียงดนตรีอรูปพรหม
Audio music for meditation

เสียงบรรเลงดนตรีเพื่อการฝึกสมาธิ เสียงดนตรีนิมมานรตี Audio music for med...


เสียงบรรเลงดนตรีเพื่อการฝึกสมาธิ เสียงดนตรีนิมมานรตี 

ผ้าลายมือพระอรหันต์ผู้ทรงฤทธิ์.....หาดูยากยิ่งนัก

ผ้ายันต์พุทธเกษตรจารมือ..หลวงพ่อกัสสปมุนี


วันนี้ขอนำเสนอผ้ายันต์จารมือ.......ยันต์พุทธเกษตร ผ้ายันต์อันทรงอานุภาพสุดประมาณ

ลงยันต์ด้วยการเขียนมือโดย...... หลวงพ่อกัสสปมุนี อรหันต์ผู้ทรงฤทธิ์แห่ง

วัดปิบผลิวนาราม อ.บ้านค่าย จ.ระยอง


ยันต์ชุดเนี้ท่านลงไว้บนผ้าจีวรที่ใส่เมื่อครั้งเข้านิโรธสมาบัติ


ลำพังแค่ตัวผ้านั้นก็หาคุณสุดประมาณมิได้แล้วครับ ยิ่งลงด้วยยันต์พุทธเกษตร

ที่ท่านได้มาจากนิมิตรด้วยแล้วยิ่งสุดๆ ไปเลยครับ หาดูได้ยากยิ่ง


เมื่อปี พ.ศ. 2507 หลวงพ่อกัสสปมุนีได้เดินทางไปยังชมพูทวีปหรือประเทศอินเดีย 
และใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นนานถึง 5 เดือน ตลอดเวลาที่ท่านเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน 
ท่านจะห่มดองหรือห่มลดไหล่ตลอด ในขณะที่พระเถระองค์อื่น ๆ จะห่มคลุมตามพระวินัยบัญญัติว่า 
เมื่อภิกษุออกนอกบริเวณวัด ต้องห่มคลุมให้เป็นปริมณฑลคือข้างบนจีวรต้องติดคอ 
ด้านล่างต้องคลุมครึ่งแข้งจึงถูกต้อง แต่การที่หลวงพ่อห่มดองตลอดรายการนั้น 

ท่านให้เหตุผลว่าชมพูทวีปเป็นดินแดนแห่งพระพุทธองค์ ทุกหนแห่งล้วนแต่เป็นแผ่นดิน
ของพระองค์ที่ทรงจาริกไปแสดงธรรม จึงถือว่าเป็น ‘เขตพุทธาวาส’ ทั้งสิ้น ท่านจึงไม่ห่มคลุม
และทุกแห่งที่ท่านไปนมัสการ ตามพุทธประวัติก็ดี ตามโบราณาจารย์กล่าวอ้างก็ดี 

ตามที่แขกอินเดียเล่าให้ฟังก็ดี ว่าสถานที่นี้พระพุทธเจ้าทรงกระทำพุทธกิจอย่างนั้นอย่างนี้ 
หลวงพ่อท่านยังไม่เชื่อทีเดียว หากท่านลงมือนั่งภาวนา ‘ตรวจสอบ’ 
ด้วยองค์ท่านเองในที่ทุกแห่ง

กระทั่งจิตท่านเห็นชัดว่า ณ สถานที่นี้พระพุทธองค์ได้ทรงทำกิจดังกล่าวอ้างมาแล้วจริง ๆ 
ท่านจึงปลงใจเชื่อ และเป็นที่น่ายินดีว่าเมื่อท่าน ‘พิจารณา’ ด้วยอำนาจฌาน-ญาณ 
อันสูงยิ่งของท่านแล้ว ปรากฏว่าในทุกสถานที่ล้วนเป็นของจริงทั้งสิ้น ทุกแห่งแฝงเร้น
ด้วยพระพุทธบารมีที่ยังคงอบอวลแผ่รัศมีอยู่ทุก ๆ เวลา รอคอยผู้มีบุญญาธิการ
มานมัสการให้เกิดมหาบุณย์-มหากุศล
ดังนั้นท่านใดที่คิดจะไปหรือไปมาแล้ว...
ก็จงสบายใจและจงอิ่มบุญในใจให้เต็มที่เถิด



ที่มา : http://palungjit.org

ดนตรีบรรเลงเพื่อการฝึกสมาธิ Music for meditation


ดนตรีบรรเลงเพื่อการฝึกสมาธิ Music for meditation

วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

เปิดภาพประวัติศาสตร์..สมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ ๒๐ สมัยเป็นพระหนุ่ม


เปิดภาพประวัติศาสตร์..
สมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ ๒๐ สมัยเป็นพระหนุ่ม
โดย ม.ล. ชัยนิมิตร นวรัตน
*************************************************
หลังจากที่ได้มีโปรดเกล้าฯ สมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 20
เมื่อวันที่ 7 ก.พ. คือ สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ (อัมพร อมฺพโร)
เจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร และ
ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเสด็จฯ
ประกอบพระราชพิธีสถาปนา สมเด็จพระสังฆราช ที่
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม" ดังข่าวที่ประกาศทราบโดยทั่วกันแล้วนั้น

ในวันนี้ (8 ก.พ.) เฟซบุ๊คของผู้ที่ใช้นาม ม.ล. ชัยนิมิตร นวรัตน์
ซึ่งเป็นศิษย์คนใกล้ชิด สมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 20 ได้โพสต์ภาพ
ซึ่งถือเป็น ภาพขาวดำ ในอดีตสมัยที่ สมเด็จพระสังฆราช
ยังเป็น"พระมหาอัมพร"

โดยโพสต์ข้อความว่า..

"ภาพประวัติศาสตร์ผมถ่ายเองเมื่ออายุ ๑๖ ลิขสิทธิ์มี
แต่สำหรับผู้ที่ศรัทธานับถือสมเด็จพระสังฆราชอัมพรมหาเถระ
สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้เลยครับไม่จำเป็นต้องขอ แต่ใครเอาไปใช้แล้ว
โปรดอย่าไปอ้างตนเป็นเจ้าเข้าเจ้าของเสียเองก็แล้วกัน"โดยในภาพ
มีพระ สายพระป่า หลายท่าน ไม่ว่าจะเป็น หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
หลวงตามหาบัว หลวงปู่ปัญญา ปัญญาวัฑโฒ
สมเด็จพระพุทธปาพจนบดี (ทองเจือ จินฺตากโร) อดีตเจ้าอาวาสวัดราชบพิธฯ
และที่สำคัญรวมถึง สมเด็จพระสังฆราช องค์ใหม่ สมัยยังเป็นพระหนุ่ม

#thaweesak451 youtube channel
จึงขออนุญาตนำภาพที่ ม.ล.ชัยนิมิตร นวรัตน
ได้ถ่ายไว้เมื่ออดีต อันเป็นภาพประวัติศาสตร์หายาก มานำเสนอเพื่อเผยแพร่
ในวาระแห่งมงคลปิติ ที่ปวงชนชาวไทย ทราบข่าวดีมี สมเด็จพระสังฆราช
องค์ที่ 20 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

ขอกราบขอบพระคุณ ม.ล. ชัยนิมิตร นวรัตน์ มา ณ ที่นี้ด้วยครับ

#ภาพประวัติศาสตร์, #สมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ ๒๐, #สมเด็จพระมหามุนีวงศ์,
#เจ้าอาวาสวัดราชบพิธ, #หลวงปู่ฝั้น, #หลวงตามหาบัว, #หลวงปู่ปัญญา
#สมเด็จพระพุทธปาพจนบดี, #กรุงรัตนโกสินทร์


บทสวดไพเราะกังวาลก้องจับจิตและมากด้วยพุทธคุณ จุลชัยยะมงคลคาถา หรือชัยมงคลคาถา


บทสวดไพเราะกังวาลก้องจับจิตและมากด้วยพุทธคุณ
ท่านใดได้พบบทสวดนี้ คนเฒ่าคนแก่ท่านว่าเป็นวาสนา
********************************************
บทสวดนี้ชื่อ...
"จุลชัยยะมงคลคาถา หรือชัยมงคลคาถา"
หรือในท้องถิ่นอีสานเรียนสวดไชยน้อย
********************************************
ประพันธ์ในสมัยล้านช้างร่มขาว ประเทศลาว
โดยพระมหาปาสมันตระมหาเถร ว่าด้วยชัยชนะของพุทธเจ้า
ต่อเทพพรหม ครุฑ นาค ปีสาจ ฯลฯ และอวมงคลทั้งหลาย

นิยมสวดในยุคสมัย หลวงปู่ เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงปู่ชอบ
ปัจจุบันนี้มีสวดเพียงไม่กี่ที่ ครับ ที่ผมเห็นในอีสานจะเห็นสวดที่วัดมหาวนาราม
อ.เมือง จ.อุบลราชธานี หรือวัดที่ประดิษฐานพระเจ้าใหญ่อินทร์แปงพระพุทธรูป
คู่บ้านคู่เมืองอุบลราชธานีครับ ตามวัดสายหลวงปู่ที่กล่าวมาแล้วครับ
และสวดเนื่องในงานที่สำคัญ ๆ ครับ ส่วนตัวผมเห็นสวดล่าสุดก็คืองานบุญกฐินถิ่น
นักปราชญ์เมืองอุบล มหากฐิน 459 กอง เมื่อปี 2556 ซึ่งเป็นงานที่สำคัญ
ของจังหวัดอุบลราชธานีครับ

คำแปลนำมาจากหนังสือสวดมนต์ของวัดธรรมมงคล ซึ่งเมื่อสวดแล้ว
จะเป็นมงคลมากครับ

บทสวดพรรณนาชัยชนะของพระพุทธเจ้า เหนือหมู่มารทั้งปวง
ทั้งล่วงพ้นอำนาจท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ และเป็นชัยชนะเหนือเทวดาทุกๆ ชั้น
ทั้งเป็นชัยชนะอมนุษย์ ยักษ์ ภูติผีปีศาจ อาวุธทั้งหลายก็ทำอันตรายไม่ได้
ทั้งชัยชนะพญานาคราช ทั้งพระจันทร์ พระอาทิตย์ พระอินทร์ พระพรหม
ทั้งลม และไฟ ก็ทำอันตรายไม่ได้

ขอเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่ ๑๘ พระองค์ จงมารักษา
ทั้งพระฤาษี พระสาวก พระธรรม พระสงฆ์ จงมาอวยชัย
ขอความสวัสดีมีชัยจงมีแด่ท่าน ด้วยเดชแห่งพระรัตนตรัย
ในครั้งนั้น มารผู้ชั่วช้าได้พ่ายแพ้ต่อพระรัศมีของพระพุทธเจ้า
ครั้นแล้วพระองค์ก็ทรงตรัสรู้เองโดยชอบ
พระพรหม พระอินทร์ เทวดาทั้งหลาย ผู้มีเดชานุภาพมาก
ทั้งหมู่พญานาค หมู่พญาครุฑผู้มีศักดายิ่งใหญ่
ต่างชื่นชมชอบใจในชัยชนะของพระพุทธเจ้า ต่อหมู่มาร ณ โพธิบัลลังก์
เป็นชัยชนะที่เป็นอุดมมงคล ทั้งเป็นฤกษ์ดียามดี

และขณะที่ได้ประกาศพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์ของ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ขอความสวัสดีมีชัย จงมีแก่ท่านด้วยเดชแห่งคุณพระรัตนตรัย
ขอให้ท่านจงได้รับประโยชน์และความสุข
ทั้งเจริญรุ่งเรืองในพระพุทธศาสนา ขอให้มีอายุยืนยาว
ปรารถนาสิ่งหนึ่งประการใด ขอให้ได้ดังใจประสงค์
และปราศจากโรคภัยทั้งหลายทั้งปวง ทั้งห่างไกลความทุกข์
ขอให้ประสบสุขทั้งกายและใจ


********************
บทสวดไชยน้อยครับ
********************
นะโม เม พุทธะ เตชัสสา ระตะนะตะยะ ธัมมิกา
เตชะ ประสิทธิ ปะสีเทวา นารา ยะปะระเมสุรา
สิทธิ พรัหมา จะ อินทา จะ จะตุโลกา คัมภี รักขะกา
สะมุทา ภูตุง คังกา จะ สะพรัหมา ชัยยะ ประสิทธิ ภะวันตุเต

ชัยยะ ชัยยะ ธ รณี ธ รณี อุทะธิ อุทะธิ นะ ทิ นะ ที
ชัยยะ ชัยยะ คะคน ละตน ละนิสัย นิรัย สัยเสน นะ เมรุราช ชะพล น ระชี
ชัยยะ ชัยยะ คัมภี ระ โสมภี นาเคน ทะนาคี ปิ ศาจ จะ ภู ตะกาลี
ชัยยะ ชัยยะ ทุน นิมิต ตะ โรคี ชัยยะ ชัยยะ สิงคีสุทา ทา นะมุขะชา

ชัยยะ ชัยยะ วะรุณ ณะมุขะ ศาตรา ชัยยะ ชัยยะ จัม ปาทินา คะ กุละคัณโถ

ชัยยะ ชัยยะ คัชชะคน นะตุรง สุกะระภุ ชง สีหะ เพียคฑะ ทีปา
ชัยยะ ชัยยะ วะรุณ ณะมุขะ ยาตรา ชิตะ ชิตะ เสน นารี ปุนะสุทธิ น ระดี

ชัยยะ ชัยยะ สุขา สุขา ชีวี ชัยยะ ชัยยะ ธ ระณี ตะเล สะทา สุชัยยา
ชัยยะ ชัยยะ ธ ระณี สาน ติน สะทา

ชัยยะ ชัยยะ มังกะ ราชรัญญา ภะวัคเค ชัยยะ ชัยยะ วะรุณ ณะยักเข

ชัยยะ ชัยยะ รักขะเส สุระภุ ชะเตชา ชัยยะ ชัยยะ พรัหมเมณ ทะคะณา

ชัยยะ ชัยยะ ราชา ธิราช สาชชัย ชัยยะ ชัยยะ ปะฐะวิง สัพ พัง

ชัยยะ ชัยยะ อะระหันตา ปัจเจ กะพุทธะสา วัง ชัยยะ ชัยยะ มะเห สุโร หะโร หะริน เทวา

ชัยยะ ชัยยะ พรัหมา สุรักโข ชัยยะ ชัยยะ นาโค วิรุฬ หะโก วิรู ปักโข จัน ทิมา ระวิ

อินโท จะ เวนะ เตยโย จะกุเว โร วะรุโณ ปิ จะ
อัคคิ วาโย จะ ปา ชุณโห กุมาโร ธะตะรัฏฏะโก
อัฏฐา ระสะ มะหา เทวา สิทธิตา ปะสะอา ทะโย
อิสิ โน สา วะกา สัพ พา ชัย ยะ ราโม ภะวัน ตุเต
ชัยยะ ธัมโม จะ สังโฆ จะ ทะสะปาโล จะ ชัยยะ กัง
เอเต นะ ชัยยะ เต เชนะ ชัยยะ โสตถี ภะวันตุ เต
เอเตนะ พุทธะ เต เชนะ โหตุ เต ชัยยะมัง คะลัง


ชัยโย ปิ พุทธัสสะ สิริมะโต อะยัง มารัสสะ จะปา ปิมะโต ปะรา ชะโย
อุคโฆ สะยัม โพธิ มัณเฑ ปะโม ทิตา ชัยะตะทา พรัหมะคะนา มะเหสิโน

ชัยโย ปิ พุทธัสสะ สิริมะโต อะยัง มารัสสะ จะปา ปิมะโต ปะรา ชะโย
อุคโฆ สะยัม โพธิ มัณเฑ ปะโม ทิตา ชัย ยะตะทา อินทะ คะณา มะเห สิโน

ชัยโย ปิ พุทธัสสะ สิริมะโต อะยัง มารัสสะ จะปา ปิมะโต ปะรา ชะโย
อุคโฆ สะยัม โพธิ มัณเฑ ปะโม ทิตา ชัยยะตะทา เทวะ คะณา มะเห สิโน

ชัยโย ปิ พุทธัสสะ สิริมะโต อะยัง มารัสสะ จะปา ปิมะโต ปะรา ชะโย
อุคโฆ สะยัม โพธิ มันเฑ ปะโม ทิตา ชัยยะตะทา สุปัณณะ คะนา มะเหสิโน

ชัยโย ปิ พุทธัสสะ สิริมะโต อะยัง มา รัสสะ จะปา ปิมะโต ปะรา ชะโย
อุคโฆ สะยัม โพธิ มัณเฑ ปะโม ทิตา ชัยยะตะทา นาคะ คะณา มะเหสิโน

ชัยโย ปิ พุทธัสสะ สิริมะโต อะยัง มารัสสะ จะปา ปิมะโต ปะรา ชะโย
อุคโฆ สะยัมโพธิ มัณเฑ ปะโม ทิตาชัยยะตะทา สะพรัหมะคะณา มะเหสิโน



ชะยันโต โพธิยา มูเล สัก กะยานัง นันทิ วัฑฒะโน
เอวัง ตะวัง วิชะโย โหหิ ชะยัสสุ ชะยะมัง คะเล
อะปะรา ชิตะปัลลังเก สีเส ปะฐะวิโปก ขะเร
อะภิเสเก สัพ พะพุทธานัง อัคคัปปัตโต ปะโม ทะติ
สุนักขัตตัง สุมัง คะลัง สุปะภาตัง สุหุฏ ฐิตัง

สุกขะโน สุมุหุตโต จะ สุยิฏฐัง พรัหมะจาริสุ
ปะทักขิณัง กายะกัมมัง วาจากัมมัง ปะทักขิณัง
ปะทักขิณัง มะโนกัมมัง ปะณีธี เต ปะทักขิณา
ปะทักขิณานิ กัตวานะ ละภัณตัตเถ ปะทักขิเณ


เต อัตถะลัทธา สุขิตา วิรุฬหา พุทธะสา สะเน
อะโรคา สุขิตา โหถะ สะหะ สัพเพหิญาติภิ
สุณันตุ โภนโต เยเทวา อัสมิง ฐาเน อะธิคะตา
ฑีฆายุกา สะทา โหนตุ สุขิตา โหนตุ สัพพะทา
รักขันตุ สัพพะสัต ตานัง รักขันตุ ชินะสาสะนัง

ยา กาจิ ปัตถะนา เตสัง สัพเพ ปูเรนตุ มะโนระถา
ยุตตะกาเล ปะวัสสันตุ วัสสัง วัสสา วะราหะกา
โรคา จุปัททะวา เตสัง นิวาเรนตุ จะ สัพ พะทา
กายาสุขัง จิตติสุขัง อะระหันตุ ยะถาระหัง

อิติ จุลละชัยยะสิทธิมังคะลัง สะมันตัง

***********************************************************
ติดตามบทสวดมนต์และคาถาอีกหลากหลายบทได้ที่
สรรพมนต์คาถา..@thaweesak451 Youtube Channel
https://goo.gl/ahKKSG
***********************************************************

วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ฝึกกรรมฐานแบบคนขี้เกียจ กุศโลบายนิพพานแล้วขึ้นสวรรค์ง่าย ๆ หลวงพ่อฤาษี ว...




กรรมฐานแบบคนขี้เกียจ
ธรรมโอวาทหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง



การเจริญกรรมฐานจริง ๆ ถ้าทำเเป็นล่ำเป็นสัน

มันอาจจะเกินพอดีไปก็ได้ เอากันแบบคนขี้เกียจ

แต่ตายแล้วไม่ลงนรกดีกว่า ง่ายดีนะ

คนขี้เกียจเขาจะทำแบบนี้


ก่อนนอนหลับ นึกถึงพระพุทธเจ้า หรือนึกถึง

พระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งโดยเฉพาะที่เราชอบ

จิตก็จับลมหายใจเข้าออก ภาวนา "พุทโธ" ก็ได้

อะไรก็ได้นะ เอาพุทโธเป็นเกณฑ์ก็แล้วกัน

หายใจเข้านึกว่า "พุท" หายใจออกนึกว่า "โธ"

เพียงแค่ ๒-๓ ครั้ง มันหลับไปก็ใช้ได้


ขณะภาวนาอยู่ถ้าจิตเข้าไม่ถึงฌานมันจะไม่หลับ

ถ้าจิตสงบถึงฌานมันจะตัดหลับทันที


จะเป็นฌานขั้นไหนก็ตาม ขณะที่หลับอยู่กี่ชั่วโมงก็ตาม

ท่านถือว่า ทรงฌานตลอดเวลา ถ้าตายเวลานั้น

จะเป็นพรหมทันทีเป็นอย่างน้อย ถ้าบังเอญก่อนจะตาย

ก่อนจะหลับเรานึกถึงพระนิพพาน ภาวนาด้วย

นึกถึงพระนิพพานไว้ก่อนด้วย แล้วก็หลับ

จิตเป็นฌานก็หลับ เขาถือว่าจิตทรงในด้านของนิพพาน

เรียกว่า อุปสมานุสสติกรรมฐาน ถ้าตายเวลาหลับ

จะไปนิพพานทันที


ถ้ามันไม่ตาย มันตื่น ก่อนจะขยับตัวไปไหน

ก่อนจะหลับจิตเราเป็นฌาน เมื่อตื่นขึ้นมาแล้ว

ฌานยังไม่คลายตัว ยังทรงอยู่ ก็เริ่มจับลมหายใจ

เข้าออกใหม่ภาวนาใหม่แค่ ๒-๓ ครั้งก็ตาม

เพียงแค่นี้ทำทุกวัน ทุกคนเวลาจะตายจะไม่นึกถึง

อกุศล จะนึกเฉพาะ กุศล อย่างเดียว


ถ้าทำอย่างนี้ทุกวัน ทำแบบคนขี้เกียจนะ

ฉันมันคนขี้เกียจก็เลยสอนให้ลูกศิษย์เป็นคนขี้เกียจด้วย

ถ้าทำอย่างนี้ทุกวันถ้าเราป่วยหนักขนาดไหนก็ตาม

ถ้ายังไม่เห็นเทวดา ไม่เห็นนางฟ้า ไม่เห็นพรหม

ไม่เห็นพระอริยเจ้า ไม่เห็นพระพุทธเจ้า ยังไม่ตาย

ถ้าขณะป่วยถึงแม้มันจะไม่หนัก เห็นเทวดาเห็นนางฟ้า

เต็มจักรวาล เห็นพรหม เห็นพระอริยเจ้า เห็นพระพุทธเจ้า

คราวนั้นตายแน่


ถ้าก่อนตายทุกขเวทนาหนัก ปวดเสียด แต่ก่อนจะตายจริง

สักอย่างน้อยที่สุด ๒๐ นาที หรืออาจจะ ๒ - ๓ วันก็ได้นะ

จิตที่มีทุกขเวทนามันจะหายไป จิตจะจับที่เทวดา ที่นางฟ้า

ที่พรหม ที่พระอริยเจ้า มีความเพลิดเพลินคุยกับท่าน

แบบสบาย ๆ และในที่สุดจิตก็ดับ ก็ไปสวรรค์ ไปพรหมโลก

ไปนิพพานได้ตามชอบใจ


ก่อนจะหลับให้ภาวนาว่า "พุทโธ" สัก ๒ - ๓ ครั้ง

แล้วภาวนาว่า "นิพพานัง สุขัง" ไปจนกว่าจะหลับ

เมื่อเวลาตื่นขึ้นมาใหม่ๆ ให้ภาวนาว่า

"นิพพานัง สุขัง" สัก ๒-๓ ครั้ง อย่างนี้ทุกคืน

จะไปนิพพานได้ในชาตินี้ ใครภาวนา "นิพพานัง สุขัง "

ไม่ได้ ให้ภาวนาว่า "พุทโธ" อย่างน้อยที่สุด

ตายจากชาตินี้แล้วไปสวรรค์



จากหนังสือ "พ่อสอนลูก"

วันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2560

หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม พระอรหันต์ผู้มีฤทธิ์ในยุคปัจจุบัน


บรรดาศิษย์สายกรรมฐานส่วนใหญ่มักจะคุ้นชื่อและได้ยินกิตติศัพท์ของ หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม เป็นอย่างดี ท่านมีปฏิปทาที่แปลก น้ำใจเด็ดเดี่ยว โผงผาง ตรงไปตรงมา มีแง่มุมต่างๆที่ครูบาอาจารย์มักจะกล่าวถึงเสมอๆ และเล่าถ่ายทอดต่อกันมาครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นที่น่าสนใจของผู้เล่าและผู้ฟังเป็นอย่างยิ่ง
จัดได้ว่าหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม เป็นพระป่าที่ดังมากองค์หนึ่งในบรรดาศิษย์รุ่นแรกๆ ของ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโ

หลวงปู่ตื้อ เป็นศิษย์องค์หนึ่งที่ออกธุดงค์ติดตามหลวงปู่มั่นไปหลายปี ในแถบป่าเขาทั้งทางภาคอีสานและภาคเหนือ
ท่านเป็นศิษย์องค์หนึ่งที่หลวงปู่มั่นไว้วางใจ และมักพูดกับสานุศิษย์ทั้งหลายว่า “ใครอย่าไปดูถูกท่านตื้อนะ ท่านตื้อเป็นพระเถระ”
บรรดาศิษย์รุ่นหลังรู้จักหลวงปู่ตื้อดี เพราท่านเป็นสหธรรมิกกับหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ แห่งวัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่
หลวงปู่ตื้อ กับ หลวงปู่แหวน มักจะเดินธุดงค์ไปด้วยกันส่วนใหญ่ ทั้งๆ ที่อุปนิสัยของหลวงปู่สององค์นี้ผิดกันไกล แต่ท่านก็ไปด้วยกันได้เป็นอย่างดี

หลวงปู่ตื้อ หลวงปู่แหวน และหลวงปู่ขาว อนาลโย ท่านสนิทสนมกันมากที่สุด นี่ว่ากันตามคำบอกเล่าของครูบาอาจารย์ท่านว่าไว้อย่างนั้น
จุดเด่นที่ทำให้หลวงปู่ตื้อ เป็นที่กล่าวขวัญกันมากคืออุปนิสัยขวานผ่าซากในวาจา ท่านมีนิสัยโผงผางไม่กลัวใคร มีเทศนาโวหารที่ไม่เคยไว้หน้าใคร ไม่ว่าคนมั่งมี หรือยาจก ท่านใช้คำพุดเหมือนกันหมดพูดตรงๆ ไม่ต้องเสกสรรปั้นแต่ง
ท่านบอกว่า ท่านเทศน์ตามความจริง ไม่ได้เทศน์เพื่อเอาสตางค์หรือเทศน์เพื่อเอาใจใคร
ญาติโยมบางท่านบอกว่า หลวงปู่ตื้อ เทศน์หยาบคาย รับไม่ได้ก็มี

มีเรื่องเล่าว่า ครั้งหนึ่ง หลวงปู่ กำลังแสดงธรรมเทศนาอยู่ ท่านเทศน์ผ่านเครื่องขยายเสียง มีญาติโยมบางกลุ่มคุยจ้อกแจ้กแข่งกับการเทศน์ของท่าน ในขณะที่ท่านหลับตาเทศนาอยู่ท่านได้หยุดเทศน์ฉับพลัน แล้วพูดผ่านไมโครโฟนเสียงดังว่า
“เอ้า! หลวงตาตื้อเทศน์ให้ฟัง พวกสูบ่ฟัง เอ้า! ฟังตดซะ“

แล้วก็มีเสียงประหลาดดังผ่านลำโพงมาสองสามชุด ทุกคนเงียบกริบ โยมคนหนึ่งตั้งสติได้ก่อนเพื่อน จึงพูดเสียงดังว่า “ขอให้หลวงตามีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์”
แล้วโยมคนอื่นๆ ก็ยกมือ และกล่าวพร้อมกันว่า ”สาธุ!”

ในการเทศน์อีกครั้งหนึ่ง ได้มีพระภิกษุหนุ่ม เป็นมหาเปรียญและได้รับการศึกษาที่ทันสมัย ตามมาฟังเทศน์ด้วย ในระหว่างที่หลวงปู่ตื้อขึ้นเทศน์ พระภิกษุหนุ่มเหล่านั้นซุบซิบกันพอได้ยินในกลุ่มไม่สามารถได้ยินไปถึงหลวงปู่ได้อย่างแน่นอน
บรรดาพระหนุ่มซุบซิบกันว่า หลวงปู่ตื้อ ไม่พัฒนา เทศน์โบราณมีแต่ของเก่าๆ ไม่ทันยุคทันสมัยเลย

หลวงปู่ท่านหยุดเทศน์ เดินตรงไปยังพระรูปนั้นท่ามกลางความงุนงงของบรรดาญาติโยม ท่านนิมนต์พระภิกษุหนุ่มรูปนั้นขึ้นเทศน์แล้วท่านก็พูดเสียงดังชัดเจนว่า “เอ้า! หลวงตาจะคอยฟังคุณเหลน คุณมหา ขอให้เทศน์เอาแต่ของใหม่ๆนะ”
พระมหาหนุ่มรูปนั้นก็เดินขึ้นธรรมาสน์ด้วยความมั่นใจ คงคิดที่จะเทศนาธรรมแบบใหม่ตามยุคสมัย ตามแบบพระผู้มีปริญญามหาเปรียญ
เมื่อพระมหาหนุ่มขึ้นต้นว่า “นะโม...” เท่านั้น หลวงปู่ตื้อท่านก็บอกให้หยุดเทศน์

“หยุด หยุด คุณเหลน หยุด ไม่เอา-ไม่เอา นะโมมันของเก่ามีมามากกว่าสองพันปีแล้วคุณเหลน...”
ญาติโยมทั้งศาลาหัวเราะกันฮาครืน!

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่วัดอโศการาม จังหวัดสมุทรปราการ หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ได้รับนิมนต์ขึ้นเทศน์ในการจัดอบรมกรรมฐานให้แก่พระและญาติโยม มีผู้สนใจใคร่ธรรมมาเข้าร่วมอย่างเนืองแน่น
ในวันนั้น หลวงปู่ ท่านแสดงธรรมได้อย่างจับใจได้อรรถรสในเบื้องต้น ท่ามกลาง และปริโยสาน อะไรเป็นธรรม เป็นวินัย เป็นตัวทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ตลอดจนวิธีดับทุกข์ อะไรที่ควรมั่น อะไรที่ควรปลง ควรปล่อยวาง ไม่ควรยึดมั่นว่าเป็นของกู
ว่ากันว่า หลวงปู่ตื้อ ได้แสดงธรรมให้สาธุชนที่อยู่ ณ ที่นั้นตรองตามแล้วเห็นจริงได้ เสมือนหงายสิ่งที่คว่ำ เสมือนจุดประทีปโคมไฟในที่มืด เสมือนชี้ทางให้กับผู้ที่หลงทาง...
อุบาสกอุบาสิกาที่ได้สดับเทศนาของหลวงปู่ตื้อในครั้งนั้นแล้ว ต่างก็รู้สึกปิติ อิ่มเอมในบุญ รู้สึกปลอดโปร่ง เบากายเบาใจ ต่างก็รู้สึกว่ากายในจิตได้ปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้ว

พอหลวงปู่เทศน์จบลง ท่านว่า “เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้” แล้วญาติโยม “สาธุ” เสียงดังสนั่นน่าอนุโมทนายิ่ง
สุดจะเก็บความปีติไว้ได้ มีอุบาสิกาท่านหนึ่งแหวกผู้คนเข้ามาข้างหน้าสุด ใกล้กับหลวงปู่ที่สุด แล้วรายงานผลว่า
“หลวงปู่เจ้าคะ ดิฉันได้ฟังหลวงปู่เทศน์แล้วรู้สึกเบากายเบาใจ ดิฉันปล่อยวางได้หมดเลยเจ้าคะ”

หลวงปู่กล่าวด้วยเมตตา “อนุโมทนาด้วยคุณโยมที่ได้ดวงตาเห็นธรรม”
“จริงๆ นะคะหลวงปู่...เดี๋ยวนี้ดิฉันไม่ยึดมั่นถือมั่นอีกต่อไปแล้ว ปล่อยวางได้หมดเลยเจ้าค่ะ...”
“...อีตอแหล...” ไม่มีใครคาดคิดว่าหลวงปู่จะอนุโมทนาด้วยการหักมุมเช่นนั้น
“ว้าย! ตายแล้ว ทำไมหลวงปู่จึงมาด่าอีฉัน!” แล้วรับผลุนผลันลุกหนีด้วยความโกรธอย่างเป็นฟืนเป็นไฟบ่งบอกลักษณะของคน “ปล่อยวาง” ได้อย่างประจักษ์
หลวงปู่ ได้แต่หัวเราะหึ...หึ ในลำคอ ขณะเดียวกันบนศาลา การเปรียญก็เงียบกริบ ตามด้วยเสียงซุบซิบ

หลวงปู่ตื้อ ท่านคุ้นเคยกับ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (พิมพ์ ธมฺมธโร) แห่งวัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน เวลาเข้ากรุงเทพฯ หลวงปู่จึงมาแวะพักที่วัดแห่งนี้เสมอ
ท่านสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ กล่าวถึงหลวงปู่ตื้อ ว่า “หลวงปู่ตื้อนี้ ท่านไม่กลัวใคร ไม่ว่าสมเด็จฯ หรือแม้แต่ท่านอาจารย์มั่น ท่านก็ไม่กลัว ท่านจัดเป็นพระที่ว่าดื้อเลยทีเดียว”
เรื่องที่หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโมชอบทำอะไรแปลกๆผิดไปจากสมณะรูปอื่นนี้ หลวงปู่หลุย จนฺทสาโร ได้เล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่า
“พระอรหันต์นั้น เปลี่ยนวาสนาเดิมไม่ได้ นอกจากพระพุทธเจ้าเท่านั้น จึงจะเปลี่ยนวาสนาเดิมได้ แม้แต่พระสารีบุตรท่านก็ยังเดินเหินไม่เรียบร้อย กระโดกกระเดก”(เพราะในอดีตชาติ พระสารีบุตรเคยเป็นลิงป่ามาก่อน บุคลิกลักษณะเดิม หรือที่พระท่านเรียกว่า วาสนาเดิมจึงยังติดตัวอยู่ ละได้ไม่หมด)
::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
#ที่มา
- หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม พระอรหันต์ผู้มีฤทธิ์ในยุคปัจจุบัน
- หลวงปู่ตื้อ กับ หลวงปู่จาม โดย พระครูสังฆวิสุทธิ์ (พระธมฺมธโร ครูบาแจ๋ว)
::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

อาราธนาพระเครื่องเพื่อบูชาให้ศักดิ์สิทธิ์


"อาราธนาพระเครื่องเพื่อบูชา".......
พิธีกรรมทางความเชื่อของการอาราธนาวัตถุมงคล.....

.........เคยรู้บ้างไหมว่าพระหรือวัตถุมงคลที่เราใส่ทำไมไม่ส่งผลตามที่เราคิด....
เนื่องจากว่าเราไม่เคยบอกกล่าววัตถุมงคล ครูบาอาจารย์ และ เทวดาที่คอยดูแลวัตถุมงคล อย่างเป็นทางการเลย ถ้าอยากให้พระที่คอใส่แล้วช่วยเสริมดวงหรือช่วยเหลือจำเป็นต้องตั้งขันธ์5ขันธ์8 เพื่อเป็นการบูชาครู ตามตำราโบราณง่ายๆมาดูกัน
"พิธีกรรมอาราธนาพระเครื่องเพื่อบูชา".......
พิธีกรรมทางความเชื่อของการอาราธนาวัตถุมงคล.....


เคยรู้บ้างไหมว่าพระหรือวัตถุมงคลที่เราใส่ทำไมไม่ส่งผลตามที่เราคิด....
เนื่องจากว่าเราไม่เคยบอกกล่าววัตถุมงคล ครูบาอาจารย์ และ เทวดาที่คอยดูแลวัตถุมงคล อย่างเป็นทางการเลย ถ้าอยากให้พระที่คอใส่แล้วช่วยเสริมดวงหรือช่วยเหลือจำเป็นต้องตั้งขันธ์ 5 ขันธ์ 8 เพื่อเป็นการบูชาครู ตามตำราโบราณง่ายๆมาดูกันวันนี้เรามาเริ่มต้นใหม่กัน

สิ่งที่ต้องเตรียม

1. เทียนเล็ก 26 เล่ม
2. เทียนน้ำมนต์หนัก 1 บาท 2 เล่ม
3. ดอกมะลิ 26 ดอก
4. เงิน 24 บาท
5. ถาด 1 ใบ
6. วัตถุมงคล
7. ธูป 19 ดอก

ขั้นตอน

1. ให้นำเทียนเล็กทั้ง 26 เล่มวางเรียงเป็นแพ
2. นำเทียนน้ำมนต์ 2 เล่มวางตรงกลาง
3. นำดอกมะลิวางด้านซ้าย 10 ดอก ขวา 16 ดอก
4. เงิน 24 บาท
5 วัตถุมงคลวาง

จุดธูป 19 ดอกปักที่กระถางธูป แล้วยกพานขึ้น ตั้งนะโม 3 จบ

ข้าแต่หลวงปู่............. ข้าพเจ้าชื่อ....… นามสกุล............ วันเดือนปีเกิดเวลาตกฟาก...........,,, อาศัยอยู่บ้านเลขที่.................ที่อยู่......... 
ลูกได้นำวัตถุมงคลของหลวงปู่มาบูชามาห้อยคอเพื่อ เป็นมิ่งขวัญ มิ่งมงคลในชีวิต ขอให้หลวงปู่ช่วยอุดหนุนค้ำชูดวงชะตา การงาน การเงินและส่งเสริมให้ลูกเจริญรุ่งเรือง แคล้วคลาดปลอดภัย คิดเงินได้เงิน คิดทองได้ทอง ปราศจากโรคภัย อันตรายใดๆ ปัดเป่าคุณไสย์ เสนียดจัญไร ทุขก์โศกโรคภัย จงหายมลายหายไป ด้วยนะโมพุทธายะ ยะธาพุทโมนะด้วยเทอญ

พอธูปหมดดอกเอาพระมาใส่ได้เหมือนหลวงพ่อหลวงปู่มอบให้กับมือไม่เชื่อลองทำ ดู อย่าลืมเอาเงิน24 บาทไปใส่ตู้บริจาคอะไรก็ได้ ถ้าเป็นบุญใหญ่ยิ่งดีแล้วอุทิศบุญให้หลวงปู่ด้วย......

:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
ข้อมูล : "อ.มานพ พุทธคุณพระเครื่อง" 14 มิถุนายน 2558
:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

ห้อยพระอย่างไรให้ปาฏิหาริย์เกิด


ห้อยพระอย่างไรให้ปาฏิหาริย์เกิด
:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
หนังสือปาฏิหาริย์วิชาศักดิ์สิทธิ์ ๔ ห้อยพระ
บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอพรเป็น ได้ทุกสิ่งที่ปรารถนา
โดย ธ.ธรรมรักษ์  : พฤศจิกายน 2514
:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

ทำไมคนไทยในทุกยุคถึงเชื่อว่า พระเครื่องที่ทำจากดิน หรือจากปูน จากโลหะชิ้นเล็กๆ ถึงจะมีพลานุภาพและสร้างปาฏิหาริย์ได้ เราต้องย้อนกลับไปดูที่มาของวัตถุประสงค์และวิธีของการสร้างพระนั้นให้เข้าใจ และต้องห้อยอย่างไรให้ถูกหลักเคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์ที่บูรพาจารย์ท่านกำหนดไว้ห้อยพระอย่างไรให้ปาฏิหาริย์เกิด

ขอให้เข้าใจถึงวัตถุประสงค์แรกว่า พระทุกองค์ที่สร้างขึ้นมาไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูป พระเครื่อง เพื่อให้ระลึกถึงพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อพาชีวิตไปสู่ความสุขความเจริญ เพื่อเตือนสติหากจิตตกนำไปสู่การทำชั่วทั้งปวง ในภายหลังต่อมามีการบรรจุ บทสรรเสริญพระพุทธเจ้า ขออำนาจบุญบารมี พลังพุทธคุณ โดยบูรพาจารย์

และอีกหลายเหตุผลทั้งสร้างขึ้นมาเพื่อสืบทอดพระศาสนาให้มีจำนวนมากขึ้นในคราวเดียวกัน เพื่อให้ทราบว่าในดินแดนนั้นๆ พระพุทธศาสนาได้เผยแผ่ไปถึงแล้ว บางครั้งเพื่อตอบแทนน้ำใจสำหรับคนที่มาร่วมสร้างบุญกุศล หรือสร้างด้วยการเฉพาะกิจอย่างใดอย่างหนึ่ง

การสร้างพระเครื่องให้ได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์ในแต่ละครั้งนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ที่อยู่ๆ ใครก็จะลุกขึ้นมาทำได้ เพราะตามหลักที่โบราณาจารย์ได้วางเอาไว้นั้น มีกระบวนการในการสร้างที่ละเอียดซับซ้อนหลายขั้นตอน

เช่น การเตรียมมวลสารต่างๆในการผสมสร้างพระเครื่อง การลงอักขระเลขยันต์ในแผ่นทอง การรวบรวมว่านศักดิ์สิทธิ์ 108 ชนิด การบวงสรวงไหว้พรหมเทพเทวดา ครูบาอาจารย์เพื่อขอบารมีให้มาช่วยในการสร้างพระเครื่อง การปลุกเสกพระเครื่องด้วยการทำสมาธิภาวนาท่องบ่นมนต์คาถาต่างๆ ให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ตามที่ต้องการ

ครูบาอาจารย์ท่านสอนเสมอว่า คนเราถ้าใช้ธรรมะ รักษาตน ก็จะได้ผลตาม”เหตุและปัจจัย”นั้น ๆ เต็มร้อย หรืออาจจะเกิดร้อยด้วยซ้ำ!

การทาน รักษาศีล ปฏิบัติธรรม จึงเป็นเครื่องป้องกัน ส่งเสริมสร้างโชตชะตาตนเองที่ดีที่สุด วัตถุมงคลจึงเป็นตัวช่วยที่รองลงมา เป็นปัจจัยเสริมที่ครูบาอาจารย์ท่านช่วยสงเคราะห์แก่โลกเท่านั้น สำหรับที่จะมี พลานุภาพ สร้างปาฏิหาริย์มากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ทั้งอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ในด้านต่างๆ เช่น เมตตามหานิยม ค้าขายร่ำรวย แคล้วคลาด คงกระพันชาตรี หรือการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ฯลฯ

จะเกิดได้ด้วยพลังจิตกุศล ศรัทธาอย่างแรงกล้าของผู้ห้อยหรือสวมใส่ ที่ต้องหมั่นทำบุญสวดมนต์ ไหว้พระ คิดดี ทำดี พูดดี พุทธคุณ บุญบารมีครูบาอาจารย์ และบุญของเราเองที่ทำจะปกป้องเรา

หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค จ.อยุธยา บูรพาจารย์ที่ได้เคยกล่าวสอนลูกศิษย์ในการสร้างพระเครื่องไว้ อยากให้ทุกท่านได้อ่านจะได้เข้าใจว่าพระเครื่องแต่ละองค์ที่มาจากครูบาอาจารย์ผู้ประพฤติชอบและมีความรู้จริงนั้นทำไมถึงมีพลานุภาพมาก

 “…ต้องอาราธนาบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอริยสาวกทุกองค์ ตลอดจนพระพรหม เทวดา ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย การชุมนุมบวงสรวงเช่นนี้ประเดี๋ยวก็เสร็จไม่ต้องถึงสามเดือนอย่างที่แล้วมา จงจำไว้ว่าการจะปลุกเสกพระหรือผ้ายันต์อะไรก็ตาม ถ้าจะอาศัยอำนาจของเราอย่างเดียวไม่ช้าก็เสื่อม

เราน่ะมันดีแคไหน การทำตัวเป็นคนเก่งน่ะมันใช้ไม่ได้ มันต้องให้พระท่านเก่ง พระพุทธท่านเก่ง พระธรรมท่านเก่ง พระสงฆ์ท่านเก่ง เทวดาท่านเก่ง พระพรหมท่านเก่ง ท่านมาช่วยทำประเดี๋ยวเดียวก็เสร็จดีกว่าเราทำตั้งพันปีเราต้องการให้ท่านช่วยอะไรก็บอกไป

ของที่ทำจะคุ้มครองผู้คนทั้งบ้านทั้งเมืองได้ทุกคนถ้าหากพระก็ดี พระพรหมก็ดี เทวดาก็ดี ท่านช่วยคุ้มครองให้ ท่านก็มองเห็นถนัด คุ้มครองได้ถนัดและจำไว้อย่างหนึ่งว่า ถ้านำของนั้นไปใช้ในทางทุจริตคิดมิชอบก็ไม่มีอะไรจะคุ้มครองได้ ที่เป็นคนเลวอยู่แล้วก็ช่วยพยุงให้เลวน้อยหน่อย ต้องช่วยตัวเองด้วยไม่ใช่จะคอยพึ่งผ้ายันต์หรือพระ

ถ้าดีอยู่แล้วก็ช่วยให้ดียิ่งขึ้น นี่เป็นกฎของอำนาจพระพุทธบารมี พระธรรมบารมี พระสังฆบารมี ตลอดจนพระพรหมและเทวดาทั้งหลาย…”

ตอนนี้หลายท่านที่สนใจเรื่องนี้คงทราบแล้วว่า การสร้างพระเครื่องในแต่ละครั้งนั้นไม่ใช่ง่าย เมื่อได้ของดี ของวิเศษมาแล้วก็ต้องรู้จักใช้ รู้จักวิธีทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดเท่าที่จะทำได้

ก่อนคล้องพระต้องสวดบทคาถาอัญเชิญพระเข้าตัว

ตามหลักของบูรพาจารย์นั้น เมื่อรับพระเครื่องมาแล้วนั้นไม่ว่าจะรับจากครูบาอาจารย์โดยตรง จากคนอื่นหรือไปเช่ามา หรือด้วยเหตุอันใดก็ตาม ควรต้องมีการอัญเชิญพระเข้าตัว การอัญเชิญนี้เพื่อให้คนที่รับพระเครื่องนั้น น้อมนำและสำนึกในพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เป็นการเริ่มนิมิตหมายที่ดีในชีวิตที่กำลังเดินทางไปสู่ความเจริญ

ถ้าหากจะสวมใส่ในแต่ละวัน ให้สวดอัญเชิญพระเข้าตัวก่อนคล้องพระทุกครั้ง ในการสวดนั้นต้องทำจิตให้นิ่งระลึกเคารพถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ทุกครั้ง แล้วสวดคาถา พลังแห่งความศักดิ์สิทธิ์ในองค์พระที่ท่านใส่นั้น จะช่วยปกป้องคุ้มครองและดลบันดาลตามที่ท่านปรารถนา


บทสวดอัญเชิญพระเข้าตัวสัพเพพุทธา   สัพเพธัมมา   สัพเพสังฆา
พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะยังพลัง
อรหันตานัญ  จะเตเชนะ  รักขังพันธามิ   สัพพะโส
พุทธังอธิษฐามิ   ธัมมังอธิษฐามิ   สังฆังอธิษฐามิ
(สวด 3 จบหรือ 5 จบ ก่อนที่ห้อยพระ)



จะแขวนพระกี่องค์ถึงจะดี

เรื่องของการห้อยพระหรือแขวนพระนั้น หลายคนคงยังสงสัยหรือยังคิดไม่ออกว่า ควรจะแขวนพระกี่องค์ถึงจะดี และมีการถกเถียงกันมาก ซึ่งเรื่องนี้ในความจริงนั้นไม่มีข้อห้ามแต่อย่างใด แต่มีเคล็ดและข้อแนะนำ ที่อยากให้ลองอ่านและพิจารณาดูว่า เราเหมาะกับการแขวนพระอย่างไรมากกว่า ซึ่งท่านคิดว่าดีก็ลองทำดู แต่ถ้าคิดว่าไม่ดีก็แล้วแต่ท่านพิจารณา

– การแขวนพระนั้น เป็นการแขวนเพื่อเป็นพุทธานุสติ เพื่อระลึกถึงคำสอนของพระพุทธองค์ รวมถึงวัตรปฏิบัติที่ดีงามของครูบาอาจารย์ผู้เป็นเจ้าของหรือเป็นผู้สร้างพระเครื่องนั้นขึ้นมา ซึ่งหากมองกันให้ลึกซึ้งนั้น หลายท่านก็จะรู้เท่าทันถึงแห่งอนิจจังที่ซ่อนอยู่ว่า คนสร้างก็ตาย คนทำก็ตาย คนแขวนก็ต้องตาย แต่ความดี บุญกุศลและกรรมนั้นยังคงอยู่ตลอดไปกาลนาน

-คนที่ห้อยพระนั้น ต้องเป็นคนดีมีศีลธรรม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในองค์พระจะช่วยเมตตา แต่ท่านจะช่วยน้อยหรือมากอยู่ที่ตัวคนที่ห้อยพระนั้น พระเครื่องหรือสิ่งของต่างๆที่เป็นมงคล ไม่มีการเสื่อมของดีนั้นไม่วันเสื่อมด้วยตัวเอง  ส่วนผู้ใช้จะปฏิบัติดีปฏิบัติชอบหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

เหมือนกับคำสวดที่ว่า “นะโมฯ” คำพุทธคุณนี้ไม่เคยเสื่อมแต่ผู้พูดปฏิบัติดีแค่ใหน การรักษาก็คือต้องสำรวม กาย วาจา ใจ อย่าให้ขาดตกบกพร่อง  เดินตามรอยธรรมของพระพุทธองค์ หลวงพ่อคูณท่าน เคยบอกใว้ว่า “ทองคำก็คือทองคำไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน” พระเครื่องก็เช่นกัน ขึ้นอยู่กับว่าอยู่กับใคร

-การแขวนพระจะเป็นองค์เดียว 2-3-4 ถึง 9 องค์หรือมากกว่านั้น จะเป็นเลขคู่หรือเลขคี่นั้นแล้วแต่จริตความชอบ หลายคนบอกว่าคนโบราณนั้นแขวนเป็นเลขคี่แล้วแต่ความเชื่อ พระสงฆ์เวลานิมนต์ต้องเป็นเลขคี่ ซึ่งจะให้พิจารณาเรื่องหนึ่ง คำว่า คณะสงฆ์นั้นต้องครบ 4 รูป ตามพุทธบัญญัติถึงจะทำสังฆกรรมได้ เรื่องของการแขวนพระจะเป็นเลขคู่หรือจะคี่จึงเป็นที่ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

จะแขวนขึ้นก่อนขึ้นหลังให้ดูอย่างนี้ ถ้าจะเอาตามหลักจริงๆ ให้เรียงลำดับเนื้อนาบุญท่านในแต่ละองค์ เหมือนเราจัดพระพุทธรูปในบ้านที่หลายคนยังไม่เข้าใจว่า ต้องเรียงความสูงตามเนื้อนาบุญเพื่อแสดงความเคารพในเบื้องต้นเริ่มจากชั้นบนสุดต้องตั้งพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระอริยสงฆ์ พระมหาโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ ครูบาอาจารย์จนชั้นสุดท้ายคือ ฆราวาส เช่น พระมหากษัตริย์ สำหรับองค์เทพต่างๆ ต้องไปอยู่อีกฐานหนึ่งแยกออกไป

ถ้ายังไม่รู้อีกให้เรียงตามพรรษาหรือความเก่า สร้างก่อนสร้างหลัง ถ้าไม่รู้อีกก็ตามจริตศรัทธาของผู้ห้อยเลยหากต้องการพุทธคุณด้านไหน ก็เลือกเอาตามความพอใจ จะเป็นเมตตา อำนาจ บารมี ค้าขาย แคล้วคลาด แต่ข้อแนะนำว่า องค์ที่เป็นประธานที่อยู่ตรงกลางนั้นเป็นองค์ที่สำคัญที่สุด ที่เหลือนั้นตามความพอใจลดหลั่นกันไป หลายคนยึดคติโบราณเอาความหมายเช่น มั่น มี ศรี สุข ก็คือ หลวงปู่มั่น หลวงปู่มี หลวงปู่ศรี หลวงปู่ศุข ที่เอาแต่เสียงที่ออกเสียงเหมือนกัน

-หลายคนบอกว่า ห้อยพระหลายองค์ทำให้พลังศักดิ์สิทธิ์นั้นน้อย อย่าขอเรียนให้ทราบว่า พลังศักดิ์สิทธิ์นั้นท่านเท่ากันทุกองค์ เพราะมาจากพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น แต่ตัวเราเองนั้นเป็นเครื่องรับพลานุภาพที่ดีหรือไม่ เป็นคนมีศีล มีบุญบารมีหรือไม่ ซึ่งไม่ควรประมาทในบุญ ต้องสร้างบุญใหม่ขึ้นมาในชาตินี้เพื่อรวมกับบุญเก่า

-ถ้าพระเครื่ององค์นั้น ครูบาอาจารย์ท่านมีข้อกำหนดในการใช้คาถากำกับไว้ ก็ต้องสวดให้ครบถ้วนตามที่ท่านกำหนดไว้ ขอให้จำง่ายๆ ว่า มีของดีแล้วต้องหมั่นอาราธนาพระ เดินตามคำสอนอย่าฝ่าฝืนด้วยถึงจะดีจริง

-ควรทำบุญและอุทิศบุญไปให้ครูบาอาจารย์ที่สร้างอย่างสม่ำเสมอเพื่อเชื่อมบุญระหว่างตัวเรากับท่านให้กระชับเข้ามาใกล้กันมากขึ้น ครูบาอาจารย์ที่ท่านสร้างและมีวัตรปฏิบัติดีนั้น บางองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ บางองค์เป็นพระโพธิสัตว์ การได้ทำบุญและเชื่อมบุญกับท่านนั้นเป็นบุญใหญ่มาก


วันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2560

กรรมฐาน..วิธีแก้กรรมลดกรรมให้ตนเอง



กรรมฐาน..วิธีแก้กรรมลดกรรมให้ตนเอง เราทำกรรมไม่ดีไว้ควรทำอย่างไร

พอจะสรุปเป็นข้อข้อได้ดังนี้

1 .ตัดกังวล เลิกคิดเลิกเศร้าเสียใจ เลิกจิตตก ไม่มีใครไม่เคยทำผิดแต่ทำผิดแล้วสำนึกได้และจะไม่ทำอีกสำคัญกว่า

2 .ปฏิบัติตามแนว ทาน ศีล ภาวนา 

ทานทำให้รวย ศีลทำให้สวย ภาวนาทำให้มีปัญญาดี

     2.1. ทานให้เพื่อลดกิเลสในตัว และความโกรธ จะมีพรหมวิหาร 4  เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา มากขึ้น

     2.2. ถือศีล 5 เพื่อรักษากาย ติด ไม่ให้พลาดไปทำผิด เพราะธรรมชาติของใจคน ไหลลงที่ต่ำได้ง่ายกว่าขึ้นที่สูง ศีลเป็นทางนำให้เกิดสมาธิ และสมาธิจะนำทางไปสู่การเกิดปัญญา

     2.3.เจริญภาวนา เพื่อให้ได้ปัญญารู้แจ้งตามความเป็นจริง ของรูปนาม คืออนิจจัง ทุกขัง นัดดา และอสุภะ สิ่งที่ไม่สวยไม่งามเช่นซากศพ ทั้งสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน

กรรมฐาน ทำได้โดยตั้งใจมั่นไม่เสียสตางค์ แก้กรรมได้โดยตรงมีผลมากที่สุด เป็นบุญใหญ่ที่สุด ที่ได้จากกรรมฐานได้ทั้งตัวเอง อุทิศ ให้บุคคลอื่นๆได้ ทำให้ทุกชีวิต ดีขึ้น

วันเสาร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2560

"ทำไมต้องทำบุญ ? "


สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรังสี) วัดระฆังโฆสิตาราม กรุงเทพฯ 

ท่านได้เทศน์เรื่องทำบุญไว้ว่า

     

  "ทำไมต้องทำบุญ?"


..เพราะ บุญ เป็นพลังงาน ที่มีพลังดึงดูด ความเจริญ มาสู่ชีวิต เป็นต้นเหตุ แห่งความสุข ความสำเร็จ ในชีวิต

..ถ้าบุญน้อย อุปสรรคในชีวิตก็มาก
..ถ้าบุญมาก อุปสรรคในชีวิตก็น้อย

..ถ้าบุญอ่อนกำลังลง หรือ บุญหมด..
..บาปที่เคยทำไว้ ก็จะได้โอกาส ส่งผล
..ทำให้ชีวิต มีอุปสรรค ต่างๆนานา
..เช่น เจ็บไข้ได้ป่วย ไม่มีความสุข หมดอำนาจวาสนา เสียชื่อเสียงเกียรติยศ แม้คนที่รักกันก็หมดรัก แม้ทรัพย์ที่มีอยู่น้อยนิด ก็ยังรักษาไว้ไม่ได้..

..ฉะนั้น การจะมี ทรัพย์สมบัติทุกอย่าง และ ความสมบูรณ์พร้อมในชีวิต ก็ต้องมีบุญ ที่มากเพียงพอ

..ซึ่งไม่ว่า จะอยู่ในสถานภาพใด ล้วนต้องอาศัยบุญทั้งนั้น ไม่ว่าจะอยากอยู่แบบพอมีพอกิน หรือ คิดจะเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี หรือ พระเจ้าจักรพรรดิ

..แม้กระทั่ง ปรารถนา ที่จะหมดกิเลส บรรลุมรรคผล นิพพาน เป็นพระอรหันต์ เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต้องมีบุญถึง บารมีถึง ถึงจะดำรงอยู่ในสภาวะนั้น ได้อย่างมั่นคง และมีความสุข

..ด้วยเหตุนี้ เราจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่จะสั่งสมบุญ

..เพราะบุญ คือ เบื้องหลังความสุข ความสำเร็จ ในชีวิตทุกระดับ อย่างแท้จริง..


ทำบุญด้วยการแชร์ต่อบทความนี้...แชร์เรื่องบุญไปก็ได้บุญ

บุญและทาน ที่บังเกิดมี ในการส่งต่อ ขอให้เป็นอภิมหาบุญ ขอให้ผู้ที่ส่ง  มีความสุข  มีความเจริญ  รุ่งเรือง  ร่ำรวย มีความสุขกายสบายใจ  มีสุขภาพดี ไม่เจ็บไม่จน ปรารถนาสิ่งใด  สมความปรารถนาทุกๆประการ ขอให้ผลบุญนั้น เห็นผลทันตา ด้วยเทอญ (อธิษฐาน) สาธุ